รูปรู้ง่ายกว่านามจริงหรือ
ผู้ฟัง อย่างนามธรรม จิต และเจตสิก เรารู้สึกว่าละเอียดมาก แต่รูปธรรม เช่นสภาพรู้ทางตากับสี กลิ่น รส สิ่งที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๕ รู้สึกจะเห็นความแตกต่างกันมากกว่านามธรรมไหมครับ
ท่านอาจารย์ แต่อย่าลืมว่า ทั้งนามธรรม ทั้งรูปธรรมเกิดดับเร็วมาก เวลานี้รู้ลักษณะของรูปารมณ์ หรือว่าคิดถึงรูปารมณ์ ทั้งๆ ที่รูปารมณ์กำลังปรากฏ เห็นไหมคะ ที่เราบอกว่าง่าย เพราะเป็นรูป แต่ความจริงรูปก็ไม่ใช่ง่าย และบรรดารูปทั้งหมดที่แสดงเรื่องของรูปารมณ์ก่อน เพราะเหตุว่าเป็นรูปเดียวที่ปรากฏให้เห็น ใน ๒๘ รูป แข็งไม่ปรากฏให้เห็นเลย เสียงไม่ปรากฏให้เห็น กลิ่นไม่ปรากฏให้เห็น มีรูปเดียวเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็น แล้วง่ายไหมทั้งๆ ที่ปรากฏให้เห็น ที่จะรู้ว่าเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งปรากฏทางตาเท่านั้น ถ้าเป็นเท่านั้นจริงๆ โดยการประจักษ์แจ้ง จะคลายเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้งจริงๆ คลายไม่ได้ และที่จะประจักษ์แจ้งจริงๆ ที่จะคลาย วิปัสสนาญาณไหน ต้องเป็นไปตามลำดับที่ละเอียดจริงๆ ผู้นั้นจะมีความตรงว่า การคลายจะเริ่มเมื่อไร มีความรู้ระดับไหนถึงจะคลายได้
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นการที่ใครก็ตามพยายามที่จะมองให้เป็นสี ไม่ให้รู้ว่าเป็นอะไรเลย อย่างที่พยายามกันนักกันหนา บางคนที่ไม่เข้าใจ เมื่อไรจะไม่เห็นเป็นหน้าต่าง เมื่อไรจะไม่เห็นเป็นคนนั้นคนนี้ คนนั้นจะไม่มีทางรู้ถ้าทำ หรือพยายามจะทำ เพราะเป็นเรื่องของปัญญา มีใครทำปัญญาได้ ไม่มีใครทำปัญญาได้เลย ปัญญาต้องเป็นสิ่งที่อบรมจนกว่าจะค่อยๆ เกิดขึ้น และก็เกิดขึ้นตามลำดับด้วย ไม่ใช่จะข้ามขั้น ปัญญาขั้นฟัง ขั้นพิจารณา โดยถูกต้อง เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็สามารถตรงแนวหรือตรงหลักความจริงของสภาพธรรม ไม่คลาดเคลื่อน ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้มีการระลึกได้
เพราะฉะนั้นก็เป็นปกติที่เห็นก็คือเห็นอย่างนี้ ไม่ต้องทำ ทำไม่ได้ที่จะไม่ให้เป็นหน้าต่าง ไม่ให้เป็นประตู เห็นแต่ค่อยๆ เข้าใจ เริ่มเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏทางตา ตอนแรกๆ ก็คงจะคิด ไม่มีใครที่ไม่คิดหรอก เพราะเรื่องคิดไม่ใช่เรื่องห้าม แต่เป็นเรื่องต้องเข้าใจให้ถูกว่า คิดมีจริง และเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้นกว่าจะชินกับคิดว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เหมือนกับกว่าจะชินว่า ขณะที่เห็นก็เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏทางตา ก็ต้องมีการเข้าใจโดยการที่แรกๆ อาจจะคิด แต่ตอนหลังความเข้าใจจะเกิดโดยไม่ต้องคิด แล้วจะค่อยๆ คลาย แล้วรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาก็อย่างนี้เอง ความพอใจของเราจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา โลภะ ความติดข้อง เราก็ไม่มี จะมีในสิ่งที่ไม่ปรากฏได้อย่างไร แต่เมื่อสิ่งนี้ปรากฏอย่างนี้ ความติดข้องที่เร็วมาก ละเอียดมากอีกขั้นหนึ่งก็สามารถเกิดเป็นอาสวะ ไหลไปตามตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมจริงๆ ว่า เป็นเรื่องการอบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจถูก แม้แต่ขั้นต้น คือ คิด ซึ่งห้ามไม่ได้ จะคิดนานเท่าไร ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีปัจจัยจะคิด จนกว่าชินแล้วก็สามารถจะค่อยๆ ลุกขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง จนกว่าจะเป็นวิปัสสนาญาณต่างๆ จนกว่าแม้ขณะนี้ก็สามารถรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และมีการคิดนึกว่าสิ่งนี้เป็นอะไร เหมือนกับเราเห็นดอกกุหลาบในกระจก เราจะละการเห็นว่าเป็นดอกกุหลาบในกระจกได้เมื่อไร ทั้งๆ ที่ดอกกุหลาบจริงๆ ไม่ได้อยู่ในกระจก แต่ความจำของเรา เห็นดอกกุหลาบในกระจก ก็นี่ดอกกุหลาบ ทั้งๆ ที่ไม่มีเลย ทั้งๆ ที่เวลานี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งไม่มีคน ไม่มีสัตว์ และวัตถุที่แข็ง ก็เป็นอีกรูปหนึ่งต่างหาก จะปรากฏเมื่อกระทบสัมผัสเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เราจะเข้าใจความจริง ไม่ว่าจะกุหลาบในกระจก หรือคนขณะนี้ทั้งหมด ที่จะคลายเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ต่อเมื่อปัญญารู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ