วิปัสสนาญาณเกิดแล้ว กิจต่อไปคืออะไร ๒
เรื่องติดนี่จะตลอดหนทาง เพราะฉะนั้นผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และมีปัญญาจริงๆ ที่จะรู้ว่า นี่ไม่ใช่หนทาง เพราะฉะนั้นคนนั้นก็จะเข้าใจความหมายของสีลัพพตปรามาสกายคันถะ ว่านี่เอง คือ ขณะใดที่เขวไป ไขว้มา หรือว่าออกไปนอกทาง คือ ติดนิดหนึ่งก็คือสีลัพพตปรามาส เพราะถ้าติด พยายามทำอะไร ชักจะตรงใจ หรือชักจะต้องการขึ้นมาอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นผู้นั้นต้องมีความละเอียดที่จะรู้ว่า ถ้าไม่ละ ผู้นั้นก็ไม่มีทางที่จะเจริญต่อไป ถ้าไม่ละความต้องการ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ห่วงใย ไม่ติดข้อง ตอนนี้น่าจะเป็นวิปัสสนาญาณอีกทีหนึ่ง หรืออีกก้าวหนึ่ง หรืออีกระดับหนึ่ง ทั้งหมดจะคงอยู่ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท เราก็จะเข้าใจความหมายว่า การดับเป็นสมุจเฉทต้องดับได้จริงๆ แต่ว่าเมื่อไร ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพธรรม มี ไม่ประจักษ์การเกิดดับ ไม่ถึงวิปัสสนาญาณขั้นสูงต่อไป ก็มีการระลึกลักษณะของสภาพธรรมนั้นเพื่อให้คุ้น เพื่อให้ชิน เพื่อให้คลาย เพราะเหตุว่าเราติดขนาดที่เราไม่รู้เลยว่า ขนาดไหน สาหัสสากรรจ์ขนาดไหน เหมือนผ้าผืนหนึ่ง มันดำไปหมด และก็ติดแน่น จะไปเขี่ย ก็ไม่มีทางออกไปได้หมดเลย นอกจากทีละจุด ทีละน้อยๆ แล้วใช้น้ำยาที่เขาใช้กันสมัยโบราณ ดินเหนียว หรืออะไรที่ใช้ในสมัยโน้น ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก ของเราจะยุคไหนสมัยไหนก็ตามแต่ คือ สิ่งที่จะค่อยๆ คลายความไม่รู้ และความเห็นผิดในสภาพธรรม คนนั้นต้องระลึกลักษณะของสภาพธรรมโดยความเป็นอนัตตา และความเป็นอนัตตาต้องเพิ่มขึ้นๆ ๆ จนกระทั่งไม่ใช่ว่า อกุศลมาแล้ว แล้วก็ทำอย่างไรดี หรืออะไรอย่างนี้ คือ เป็นเรื่องของความเป็นเราทั้งหมดที่แสดงให้เห็นว่า เริ่มไม่รู้ความเป็นอนัตตาอีกแล้ว แต่ถ้าอกุศลก็คือหมดแล้ว กุศลก็คือหมดแล้ว คือ ไม่มีเราอยู่ในนามธรรม และรูปธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เป็นโลกของปรมัตถธรรม จนกว่าจะประจักษ์ เป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นต่อไป ก็คือเหมือนอย่างนี้แหละ คือจะต้องไม่มีการติดข้อง ไม่มีความหวัง แล้วก็อบรมเจริญสติปัฏฐาน แล้วมีความรู้ด้วยตัวของตัวเองว่า คลายไปแค่ไหน “คลาย” คือสามารถที่เมื่อระลึกก็รู้ในความเป็นนามธรรม และรูปธรรม หรือว่ายังก่อน ยังจะต้องระลึกไปอีก ศึกษาไปอีก จนกว่าจะถึงระดับนั้นได้
ก็เป็นเรื่องตรง โดยขั้นการศึกษา สัจญาณ ทุกคนรู้ว่า ต้องหมายความถึงความมั่นคงจริงๆ ว่า สัจญาณ ได้แก่ ๑. ทุกข์ ๒. สมุทัย ๓. นิโรธ ๔. มรรค ทั้งๆ ที่ไม่ประจักษ์เลย แต่มีความมั่นคงว่า ทุกข์คือเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เวลาอื่น ไม่ไปทำอย่างอื่นเลย และโลภะก็เป็นสิ่งที่ควรละด้วย ถ้าไม่มีความรู้ขั้นสัจญาณ เขาก็ตามโลภะไป ไม่ได้ละ และต้องรู้ด้วยว่า หนทางนี้เป็นหนทางที่เมื่อละแล้ว จึงสามารถประจักษ์ลักษณะของนิพพานได้ ก็เป็นสิ่งที่เขามีความมั่นคงว่า ถ้ายังคงมีโลภะ ความติดข้อง ในสังขารขันธ์ทั้งหลาย ในสังขารธรรม จะไม่มีการสละสังขารธรรมเพื่อจะไปสู่วิสังขารธรรมเป็นอารมณ์
นี่คือขั้นสัจญาณ และต้องรู้ด้วยว่า หนทางนี้ คือ ทางเดียว คือ สติปัฏฐาน ไม่ใช่สมาธิปัฏฐาน ไม่ใช่อะไรๆ ปัฏฐานทั้งนั้น นี่คือสัจญาณ โดยที่สติปัฏฐานยังไม่ได้เกิด ขณะใดที่สติปัฏฐานเกิด นี่คือกิจญาณของสติปัฏฐาน ไม่ใช่วิปัสสนาญาณเลยขั้นนี้ แต่กตญาณขั้นแรกที่สุดก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ก็คือสามารถเห็นลักษณะของสภาพธรรมโดยความเป็นธาตุ โดยความเป็นธรรมแต่ละอย่าง ขณะนั้นถึงจะสามารถรู้ว่า อันนี้ต้องดับ จึงจะเป็นทุกขสัจ และถ้ายังมีความติดข้องในอันนี้อยู่ ในวิปัสสนาญาณนี้อยู่ ก็เป็นสมุทัย ก็จะไม่ถึงมรรค
เพราะฉะนั้นหนทางก็คือเป็นเรื่องของการละ ซึ่งกตญาณของเขาในขณะที่มีการรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม คือ ขณะนั้นไม่มีตัวตน แต่รู้ว่า เป็นเรื่องของธรรมโดยตลอดที่จะต้องค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพราะว่าความรู้ก่อนที่จะเป็นกิจญาณ หรือกตญาณ เป็นเพียงความเข้าใจสัจญาณ ถ้าเอาอันนั้นเป็นอันนี้เลยก็ไม่ได้ หรือจะเอากิจญาณเป็นความรู้ที่สมบูรณ์เลยก็ไม่ได้ แต่จะเอาเพียงแค่วิปัสสนาญาณมาเป็นความรู้ที่สมบูรณ์เลยก็ไม่ได้ แต่จากปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณ เขารู้เลยว่า ไม่มีเรา ทั้งหมดเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหมด
เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ลักษณะของทุกข์ ซึ่งขณะนั้นแม้ลักษณะของสภาพธรรมปรากฏทีละอย่าง แน่นอนค่ะ สภาพธรรมจะปรากฏพร้อมกันไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นความคิดนึก ไม่ว่าจะเป็นทุกขเวทนา หรืออะไรก็ทีละอย่าง
เพราะฉะนั้นจากการที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง เป็นระดับขั้นของนามรูปปริจเฉทญาณ แม้ว่าสภาพหนึ่งเกิดแล้วดับไป อีกสภาพหนึ่งเกิดต่อแล้วดับไป อีกสภาพหนึ่งปรากฏต่อแล้วดับไป แต่ปัญญาขั้นต้นไม่ถึงระดับที่จะเป็นอุทยัพพยญาณ แต่สัจญาณของเขามี ที่จะรู้ว่า อันนี้ที่เขาไม่รู้ แต่เขาจะรู้ได้ต่อเมื่อเขาอบรมต่อไป
เพราะฉะนั้นก็มีความมั่นคง โดยที่ขณะนั้นไม่มีเรา แต่เป็นตัวกตญาณ ปัญญาระดับที่สามารถรู้ถึงสัจญาณที่มั่นคงต่อไปอีกระดับหนึ่ง เพราะว่าสัจญาณของคนที่วิปัสสนาญาณยังไม่เกิด กับสัจญาณของคนที่วิปัสสนาญาณเกิด หรือสัจญาณของผู้เป็นพระอริยบุคคล ก็ต้องต่างกัน แต่ทั้งหมดก็คือจะต้องติดตามไปทั้งอริยสัจ ๔ และในญาณ ๓ รอบ แต่เวลาที่วิปัสสนาญาณแรก แม้ว่าสภาพธรรมปรากฏทีละอย่าง เพราะว่าจะปรากฏ ๒ อย่างไม่ได้ นี่คือความจริง แต่ปัญญาระดับนั้นไม่ถึงขั้นที่จะประจักษ์การเกิดดับ เพราะเหตุว่าเขายังจะต้องอบรมที่จะชินต่อโลกของปรมัตถ์ ที่จะชินต่อลักษณะของนามธรรมรูปธรรมใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งละความสงสัยไปทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับขั้น เพราะเรื่องของการรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นเรื่องของการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แต่สติปัฏฐานดับกิเลสไม่เป็นสมุจเฉท วิปัสสนาญาณแรกๆ จนกระทั่งมรรคจิตยังไม่เกิด ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท จะดับเป็นสมุจเฉทต่อเมื่อโลกุตตรจิตเกิด
เพราะฉะนั้นคนนั้นจะมีความเข้าใจถูกในทุกขั้นตอน เราจะใช้คำว่า กตญาณ หรือไม่กตญาณ หรือไม่ใช้คำพูดใดๆ ก็ตาม แต่เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้ แต่แสดงให้เห็นถึงความต่างกันของขั้นที่เป็นสัจญาณ ขั้นที่เป็นกิจญาณ และขั้นที่เป็นกตญาณ ตามลำดับ