หลังคากิเลส
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่ได้ฟัง เพื่อให้รู้ตัวเองตามความเป็นจริงที่จะเห็นโทษของอกุศล แล้วเห็นประโยชน์ของการได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสฟังพระธรรม ได้มีการอบรมเจริญปัญญา ความเห็นถูกต้องในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเลย ท่านอุปมาเหมือนคนที่อยู่ใต้หลังคา มองเห็นอะไรข้างนอกบ้าง ไม่เห็นเลยใช่ไหมคะ เพราะอยู่ใต้หลังคา หลังคา คือ กิเลสครอบไว้หมด ไม่ว่าจะไปทางไหน ไม่มีโอกาสได้เห็นว่า จริงๆ แล้วเป็นอะไร แต่พอเปิดหลังคา แสงสว่างล้อมรอบ ก็สามารถเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
นี่คือความไพเราะของพระธรรมที่ทรงอนุเคราะห์ทุกสถานการณ์ แม้แต่แต่ละคำที่จะแสดงถึงการตกอยู่ในอำนาจของกิเลส ไม่พ้นจากอำนาจของกิเลส เป็นผู้ที่ยังติดข้องในกามคุณต่างๆ เหล่านี้ เพื่อให้อบรมเจริญปัญญา ไม่ต้องทำอะไร เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง และเป็นผู้ละเอียดที่จะเห็นโทษของอกุศล เพื่อในขณะนั้นจะได้เป็นกุศลที่เจริญขึ้น เพราะถ้าไม่มีกุศล หรือกุศลไม่เกิด กุศลไม่เจริญ วันนี้ก็อยู่ใต้หลังคา แต่ขณะนี้ก็ยังมีโอกาสที่จะมีแสงข้างนอกส่องมา พอที่จะมองเห็นว่ามีอะไร
นี่คือการที่จะรักษาจิตจากอาสวะ หรือใช้คำว่า “ในอาสวะ”
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด และไตร่ตรองแล้วจะเข้าใจ แม้แต่คำว่า “อยู่ใต้หลังคากิเลส” เพราะเมื่อกี้นี้พูดถึงอาสวะ กามาสวะ กำลังมี หลังจากที่จิตเห็นดับไปแล้ว อยู่ใต้หลังคากิเลสหรือเปล่า ไม่เห็น จะเข้าใจความหมายของสิ่งใดก็ตาม แม้มี แต่ก็ไม่เห็นตามความเป็นจริง ก็เหมือนกับอยู่ใต้หลังคาของกิเลส ลองคิดถึง ขณะนั้นก็จะได้เข้าใจความหมายของแต่ละคำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เป็นเรื่องเข้าใจขึ้นๆ ไม่ต้องคิดที่จะทำอะไรว่า แล้วใครจะรักษาจิต เพราะรู้อยู่แล้วว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อกุศลรักษาจิตไมให้ตกไปในอาสวะไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น แม้แต่ว่าขณะนี้มีศรัทธาในการฟัง แล้วได้ฟังแล้ว ปัญญาเจริญหรือยัง ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง ฟังแล้วเข้าใจขึ้นเมื่อไร นั่นคือปัญญาเจริญขึ้นนิดหนึ่ง หรือว่าปัญญาเจริญมาก จนกระทั่งสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ผู้นั้นก็เป็นผู้ตรง เพราะเหตุว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นคำในหนังสือ แต่กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ด้วยคำต่างๆ ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ