กิเลสตัวแม่-กิเลสตัวพ่อ
ไม่ลืมว่า การฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เวลาที่อ่านข้อความจากพระไตรปิฎก สำนวน และธรรมที่ทรงแสดง ไม่ง่าย แต่ต้องมีความเข้าใจก่อน และจึงสามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นถ้าเราไม่กล่าวถึงข้อความที่เพิ่งกล่าวถึงเมื่อกี้นี้ แต่พูดถึงความจริงให้เข้าใจว่า ขณะนี้กำลังมีอวิชชาหรือเปล่า เพราะยังมีอวิชชา จึงต้องมีสังขาร มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะมีอวิชชา ถ้าไม่มีอวิชชาแล้ว อะไรๆ จะมีได้ไหมคะ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจในเบื้องต้นว่า อวิชชาเป็นปัจจัยที่ทำให้นามธรรมรูปธรรมเกิดขึ้น
ตอนนี้ก็ไม่มีข้อสงสัย แต่ธรรมก็ไม่ได้มีอย่างเดียว เมื่อมีอวิชชาแล้ว ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ขณะนี้มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏด้วย ไม่ใช่มีแต่เฉพาะอวิชชา
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม จึงต้องฟังโดยละเอียด เมื่อเข้าใจแล้ว ข้อความก็ตรงกับที่ได้ยิน แต่ต้องมีความเข้าใจก่อนว่า มีความไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง เมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริง ย่อมมีความติดข้องแน่นอน เพราะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ความจริงก็คือเป็นธรรมอย่างหนึ่ง มีปัจจัยเกิดแล้วดับเร็วมาก ยังไม่ทันรู้เลยว่า เป็นอะไร แต่ก็ติดข้องเสียแล้วในสิ่งที่ปรากฏ เวลานี้ถ้าจะพูดถึงการเกิดดับสืบต่อของจิต นับประมาณไม่ได้ เพราะเพียงชั่วขณะที่จักขุวิญญาณหรือจิตเห็นเกิดขึ้นเห็น เท่านั้น เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แล้วจิตที่เห็นดับ ก็มีจิตอื่นเกิดดับ รู้รูปที่ยังไม่ดับ จนเมื่อรูปนั้นดับแล้ว จิตก็ไม่สามารถมีรูปนั้นเป็นอารมณ์ต่อไปได้ ซึ่งในระหว่างจิตตั้งแต่เห็นจนกระทั่งรูปดับ มีความติดข้องพอใจในสิ่งที่ปรากฏ
นี่คือความจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งถ้าไม่พูดถึง เราก็ไม่รู้เลยว่า อกุศลทั้งหลายมีมาก เพราะเรารู้เพียงว่า ขณะนี้กำลังเห็น แต่จะไม่รู้ถึงความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถูกต้องไหมคะ รู้แต่เพียงว่าเห็น
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า นอกจากอวิชชา ก็ยังมีตัณหา เพราะว่ามีความพอใจในสิ่งที่ปรากฏ และมีอุปาทาน การยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ดับ ที่เที่ยง ที่กำลังพอใจอยู่
ด้วยเหตุนี้ธรรม ๔ ประการ คือ อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน เปรียบเสมือนมารดา คือ เพิ่มขึ้นมาอีกจากที่ว่า อวิชชา ก็รวมทั้งตัณหา และอุปาทานด้วย และเปรียบเหมือนบิดา เพราะว่าเป็นเหตุให้กระทำเหตุให้เกิดนามรูป ถ้ามีเข้าใจอย่างนี้ ก็จะเข้าใจข้อความนั้นได้ และจะจำได้ด้วย เพราะว่ากำลังเป็นความจริงในขณะนี้ว่า มีทั้งมารดา และบิดา มารดาก็คืออวิชชา มีแน่นอน และตัณหา และอุปาทาน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีเจตนาซึ่งเกิดในขณะที่เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งเปรียบเสมือนบิดา