จะรู้จริงเมื่อไหร่ อย่างไร
ผู้ฟัง ที่มีความคิดเห็นว่า กุศลจิตเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มีมากขึ้นก็ดี และอกุศลจิต เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ทราบเป็นความต้องการ หรือเป็นความคิดเห็นที่ถูกต้อง หรือว่าอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ เราจะรู้จิตของคนอื่นได้ไหมคะ และสภาพธรรมเกิดแล้วก็ดับเร็วมาก คุณโจนาธานจะไปรู้ตอนไหนว่า นี่เป็นกุศล หรือว่านี่เป็นอกุศล
ผู้ฟัง รู้ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ จะรู้เมื่อไร
ผู้ฟัง ก็ต้องเจริญสติ
ท่านอาจารย์ อีกนานจนกว่าจะรู้ว่าเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมก่อน เพราะว่าจริงๆ แล้ว สภาพธรรมที่เกิดกุศลก็สั้นนิดเดียว แล้วก็ดับ อกุศลเกิดขึ้นก็สั้นนิดเดียว แล้วก็ดับ แล้วเราก็พยายามคิด หรือฟังมา ถ้าฟังธรรมก็เป็นกุศล นี่เป็นกุศลหรือเปล่าขณะที่กำลังได้ยินเสียงอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เรากำลังฟังธรรม เป็นกุศลหรือเปล่าคะ เวลาได้ยินเสียงนก
ผู้ฟัง เป็นวิบากค่ะ
ท่านอาจารย์ วิบากดับไปแล้ว เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
ผู้ฟัง กุศล
ท่านอาจารย์ เป็นกุศลหรือคะ ได้ยินเสียงนก
ผู้ฟัง เพราะว่าจริงๆ แล้วพิจารณาแค่เป็นเสียงเกิดขึ้นมาเอง
ท่านอาจารย์ เวลาที่ได้ยินหรือคะ
ผู้ฟัง หนูไม่ได้สนใจเสียงตรงนั้น
ท่านอาจารย์ ไม่ได้สนใจ แต่พิจารณาหรือเปล่า
ผู้ฟัง แต่ความจริงแล้วหนูฟังเสียงอาจารย์ พออาจารย์บอกมีเสียงนก เสียงนี้ก็เกิดขึ้นจริง ก็แค่นั้นเอง
ท่านอาจารย์ ดิฉันถามว่า เมื่อวิบากที่ได้ยินเสียงนั้นดับไปแล้ว จิตเป็นกุศลหรืออกุศล ต่อจากที่ได้ยิน
ผู้ฟัง หนูว่า ของหนูเป็นกุศลค่ะ
ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ เราจะรู้ได้อย่างไร เราคิดเอาว่าเป็น จะรู้จริงเมื่อไร อย่างไร เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ถ้าฟังเผิน หรือฟังโดยไม่ไตร่ตรอง เราก็จะคิดว่าเป็นกุศล แล้วต้องฟังอีก ต้องรู้ความต่างจริงๆ ถึงฟังอีก ก็รู้เพียงเรื่อง เพราะกุศลจิต อกุศลจิตก็ดับแล้ว จะรู้จริงต่อเมื่อลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมปรากฏ ที่ว่านามธรรม และรูปธรรมปรากฏ ก็คือมีลักษณะของนามธรรมเฉพาะอย่างปรากฏด้วย ไม่ใช่เฉพาะนามธรรม และรูปธรรมแล้วไม่มีลักษณะอะไร ใช่ไหมคะ แต่ต้องมีลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมปรากฏทีละอย่าง แต่เพียงเราไม่รู้ว่า เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นความรู้ของเราเป็นการคิดว่า เป็นกุศล แต่เราไม่รู้จักลักษณะจริงๆ ของกุศล จนกว่ารู้จริงๆ ว่า เป็นนามธรรมเมื่อไร รูปธรรมเมื่อไรโดยวิปัสสนาญาณ ขณะนั้นลักษณะของนาม เขาก็มีลักษณะของเขา จะเป็นโลภะ จะเป็นอะไรๆ ก็มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งแสดงความเป็นนามธรรมของลักษณะนั้น ไม่ใช่พอบอกว่า เป็นนามธรรม และรูปธรรมแล้วไม่มีลักษณะอะไรเลย จะต้องมาตั้งต้นกันใหม่ว่า นามธรรมนี่เป็นโลภะ หรือเป็นอกุศล หรือเป็นกุศล หรือเป็นอะไร ไม่ใช่ แต่ความแจ่มแจ้งของปัญญาที่มีในสภาพธรรมที่ปรากฏนั้น ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะเป็นระดับขั้นที่สามารถจะรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เมื่อรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม คือ ตรง นามธรรมที่เป็นกุศล เป็นกุศล นามธรรมที่เป็นอกุศล เป็นอกุศล ถ้ารู้ตรง นามธรรมที่เป็นอกุศลจะมาเป็นกุศลตรงนั้นไม่ได้ นั่นคือคิด เพราะฉะนั้นจะรู้ตรงต่อเมื่อใด ต่อเมื่อสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมปรากฏ เมื่อนั้นลักษณะที่เป็นกุศลหรืออกุศลก็ตรง
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เรารู้อย่างนี้ ก็เป็นการคิดเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วมันไม่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ กับเรา เรายังไม่มีปัญญาที่จะรู้ ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ เราก็คิดเอาว่าเป็นกุศลหรืออกุศล แล้วก็ผิดด้วย
ผู้ฟัง เพราะหนูคิดว่า หนูไม่ได้เกิดความชอบ หรือเป็นสนใจ ไปโกรธอะไร ไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น เลยคิดว่าเป็นกุศล
ท่านอาจารย์ โมหะมีไหมคะ อกุศล โลภะ โทสะ โมหะ ไม่เป็นโลภะ ไม่เป็นโทสะ
ผู้ฟัง แต่ก็ยังมีโมหะอยู่
ท่านอาจารย์ แล้วความจริงมีโลภะหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นจะรู้จริงๆ ต่อเมื่อเป็นวิปัสสนาญาณ เพราะว่ามีลักษณะของสภาพธรรมนั้นด้วย สภาพธรรมเขาเกิดดับเร็วแสนเร็ว เร็วมากเลยค่ะ โมหะก็มี โลภะก็มี กุศล อกุศลก็มี ทุกอย่าง แต่ไม่รู้ เพราะว่าสติปัฏฐานไม่ระลึก สิ่งนั้นก็ดับแล้ว สิ่งที่ดับไปแล้วไม่มีใครจะตามไปรู้ได้เลย จะรู้ได้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วค่อยๆ ศึกษา คือ ค่อยๆ เข้าใจในลักษณะนั้น ในสภาพที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม เมื่อปรากฏเป็นลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ใครเปลี่ยนลักษณะไม่ได้ เช่น นามธรรมที่เป็นโทสะ ถ้าลักษณะนั้นปรากฏ และมีความรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมของโทสะ เพราะว่าโทสะก็เป็นนามธรรมด้วย แต่ก่อนนี้ก็คือเป็นเรา แต่เวลาที่สติปัฏฐานเกิด โทสะก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง จนกว่าสภาพนั้นจะปรากฏโดยความเป็นธาตุ