เพียงคิดหรือเข้าใจลักษณะที่ปรากฎ
คุณนีน่า ค่อยๆ ศึกษา ยังไม่ใช่สัมมาสติ แต่เราต้องเริ่มรู้เวลาที่ไม่มีสติ และเวลาที่มีสติต่างกัน แต่ยังไม่ใช่สัมมาสติ ถูกไหมคะ
ท่านอาจารย์ สติยังไม่เกิด ก็คือหลงลืมตลอด เพราะฉะนั้นเวลาที่สติเกิดคือความต่าง เพราะฉะนั้นคนนั้นก็จะรู้ว่า เวลาที่สติเกิด ไม่ใช่ขณะที่หลงลืมสติ
คุณนีน่า แต่ไม่ใช่สัมมาสติ เพราะว่ายังไม่ได้เริ่ม
ท่านอาจารย์ เริ่ม หมายความว่าขณะนี้มีสภาพธรรมที่คนนั้นมีความเข้าใจ ที่เข้าใจถูกต้องว่า สติสามารถเกิดระลึกได้ เป็นปัจจัยให้มีการระลึก ขณะที่กำลังค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนั้นไม่ใช่เพียงการฟังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง เป็นรูปธรรม นั่นคือการเพียงฟัง แต่ขณะนี้กำลังเห็น มีเห็นจริงๆ มีสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ และกำลังเริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นเพียงรูปๆ หนึ่ง ใน ๒๘ รูปที่สามารถจะปรากฏได้ รูปอื่นปรากฏไม่ได้เลย แข็ง เราก็มองไม่เห็น หวาน เราก็มองไม่เห็น กลิ่น เราก็มองไม่เห็น แต่ทั้งหมดเป็นรูป เพราะเหตุว่าไม่ใช่สภาพรู้ มีรูปเดียวเท่านั้นที่ปรากฏทางตาที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ฟังบ่อยๆ เพื่อจะค่อยๆ เน้อมไประลึก คือ เข้าใจในขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เข้าใจ
เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่ละเอียด และเป็นเรื่องที่ต้องอบรมจริงๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ได้ จากการไม่เคยได้ยินได้ฟัง เป็นได้ยินได้ฟัง จนกระทั่งสามารถในขณะนี้เองที่เห็น กำลังค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และกำลังปรากฏทางตา
ไม่ต้องเป็นเรื่องราวอย่างนี้ แต่ถ้าจะคิดเป็นเรื่องราวอย่างนี้ ก็ไม่มีใครห้าม ห้ามไม่ได้ พระธรรมแสดงความเป็นอนัตตา ขณะที่อาจจะระลึกเป็นคำ แล้วสลับกับขณะที่กำลังค่อยๆ พิจารณาลักษณะที่เป็นสภาพธรรมนั้นจริงๆ ก็ได้
เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ละเอียด ที่จะต้องรู้ว่า ขณะไหนเป็นเพียงคิด และขณะที่สติกำลังค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏ
ถ้าขณะนี้ไม่มีระลึกลักษณะซึ่งเป็นสภาพรู้ที่สามารถเห็น และกำลังเห็นว่า ธาตุชนิดนี้มี แม้ว่าไม่ปรากฏเลย เพราะเหตุว่าสติไม่ได้ระลึกเลย แต่เวลาที่สติระลึก จะค่อยๆ เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพรู้ ซึ่งกำลังเห็น นี่คือลักษณะของธาตุชนิดนี้ซึ่งสามารถเห็นได้
เพราะฉะนั้นการฟังอย่างนี้ ฟังไปอีก ฟังไปอีก ก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อที่จะให้เราไม่หลงลืม หมายความว่ามีความเข้าใจที่มั่นคง ที่เป็นปัจจัยให้กำลังค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้ว่าจะน้อยมาก เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของรูป และนามทางทวารนี้ และทางทวารอื่น แล้วก็มีภวังค์คั่น แล้วก็เป็นลักษณะของมโนทวารซึ่งเกิดสืบต่อ ซึ่งเป็นความจริงทุกอย่างตามที่ทรงแสดง แต่ในขั้นต้นยังไม่ใช่ปัญญาระดับนั้น แต่เป็นปัญญาซึ่งค่อยๆ เข้าใจก่อน
คำว่า “เข้าใจ” หมายความถึงปัญญาขั้นหนึ่ง เพราะว่าเราใช้คำว่า “ปัญญา” แต่เราไม่รู้ว่า ปัญญาขั้นต้นคือเข้าใจ เราก็พยายามใช้ปัญญา ทำปัญญา หาปัญญา โดยไม่รู้ว่า ปัญญาคืออะไร แต่ถ้ารู้ว่า ปัญญาเป็นความเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาบาลีว่า ปัญญา ก็ได้ ในเมื่อมีความเห็นถูกเกิด
เพราะฉะนั้นในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจ เราจะไม่หนีไปจากสิ่งที่ปรากฏทางตา อาจหาญ ร่าเริง คือ รู้ว่าสิ่งนี้มี แล้วปัญญาต้องรู้สิ่งนี้ที่กำลังปรากฏ ถ้าปัญญาไม่รู้สิ่งนี้ ก็ไม่มีทางที่เราจะคลายความที่เราคิดว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเที่ยง เป็นคนนั้น ชื่อนั้น กำลังนั่งอยู่ที่นี่ เป็นต้นไม้ เป็นนก เป็นสระน้ำ เป็นสนามหญ้า เพราะว่าขณะที่ความรู้เกิดขึ้นว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา และเวลาที่เราพิจารณาสภาพของนามธรรมอื่น รูปธรรมอื่น เราก็ค่อยๆ เพิ่มการรู้ลักษณะของสภาพรู้ หรือสิ่งที่ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะว่าทุกอย่างเปลี่ยนลักษณะไม่ได้เลย เปลี่ยนเสียงให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ เปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น จนกว่าจะหมดความสงสัย หมดความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง สมมติว่าคุณแม่เขาว่า เราก็รู้เป็นแค่เสียง ก็สบาย
ท่านอาจารย์ เป็นเราคิดไงคะ เราคิด ไม่ใช่สภาพรู้หรือธาตุรู้
ผู้ฟัง แต่การคิดแบบนั้นก็ดีกว่าที่คิดว่า แม่กำลังว่า
ท่านอาจารย์ กุศลดีกว่าอกุศลหรือเปล่าคะ กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาระดับไหน ขั้นไหน กับกุศลที่สามารถจะรู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน มีกุศลหลายขั้น