เพราะคิดจึงมี
ผู้ฟัง คิดว่าตอนนี้หลายคนตั้งใจฟังพระธรรมเพื่อจะได้เข้าใจพระธรรม แต่เวลาที่ท่านอาจารย์แสดงว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตากำลังปรากฏ ก็จะมีความตั้งใจอย่างหนึ่งที่เริ่มสนใจสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นความตั้งใจที่เริ่มจะสนใจในสภาพธรรมตรงนี้ จะต่างกับความตั้งใจในการฟังธรรมให้เข้าใจไหมครับ
ท่านอาจารย์ ตั้งใจเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ การศึกษาธรรมของเรา เราทิ้งพระธรรมไม่ได้เลย ถ้าเรามีความจงใจหรือตั้งใจแล้วเราเป็นผู้ที่ละเอียด เราจะรู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่สัมมาสติ ไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่ลักษณะของความตั้งใจเราเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นความตั้งใจมีหลายอย่าง ตั้งใจที่เป็นอกุศลก็มี ตั้งใจที่เป็นกุศลก็มี ตั้งใจที่เป็นกุศลระดับไหน อย่างเวลาที่ฟังพระธรรม เจตนาเจตสิกเรารู้ว่า เกิดกับจิตทุกขณะ แต่ความตั้งใจของเราที่จะฟัง มีแค่ไหน บางคนอาจจะกำลังง่วง บางคนอาจจะกำลังคิดถึงเรื่องอื่น ห้ามไม่ได้เลย มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วม แสดงความเป็นอนัตตาว่า ไม่ใช่เรา แม้แต่ขณะที่เกิดความจงใจ ตั้งใจ ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา มิฉะนั้นเราจะหลงทางไปเรื่อยๆ เพราะเหตุว่าคิดว่าต้องมีเจตนา หรือว่าต้องมีความจงใจ แต่ถ้าเราทราบมั่นคงว่า เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ แล้วก็หลากหลาย เช่น เจตนาที่เป็นอกุศล หรือเจตนาฟัง ขณะนั้นก็ตั้งใจที่จะฟังให้เข้าใจ แต่ไม่ใช่เจตนาที่จงใจที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิด
ถ้ามีใครก็ตามขณะนี้ฟังมานานแล้วแน่นอนเรื่องธรรม และเรื่องสติปัฏฐานก็ฟังมานาน แต่ก็ห้ามไม่ได้เลยที่บางครั้งสติเกิด ที่เป็นสติปัฏฐาน บางครั้งสติปัฏฐานก็ไม่เกิด
เพราะฉะนั้นคนนั้นต้องไม่หวั่นไหว ต้องมีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา ที่จะรู้ว่า เมื่อสติเกิดมีการระลึกที่ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม
ถ้าใช้ภาษาไทยว่า “ระลึก” คนที่ไม่ชินกับสภาพธรรมก็อาจจะคิด คือ ระลึก เพราะฉะนั้นภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาบาลี เราต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า ขณะนั้นไม่ใช่คิดเรื่องอดีต นานๆ ยาวๆ หรือเรื่องหนึ่งเรื่องใด แต่ว่ามีสภาพปรมัตถธรรม อย่างทางกายกำลังปรากฏลักษณะที่แข็งกับกายวิญญาณ มีสภาพที่รู้แข็ง เด็กรู้แข็ง สัตว์ก็รู้ ใครที่มีกายปสาทก็ต้องรู้ลักษณะของแข็งที่กระทบกับกายปสาท แต่จะกล่าวว่า ขณะนั้นเป็นสติปัฏฐานไม่ได้ เป็นแต่เพียงกายวิญญาณ แต่มีแข็งปรากฏ หลังจากที่กายวิญญาณรู้ ขณะนั้นสติปัฏฐานระลึกที่ลักษณะแข็งนั่นเอง
เพราะฉะนั้นคนนั้นก็จะรู้ว่า วันหนึ่งๆ ที่แข็งปรากฏ สติปัฏฐานเกิดระลึกที่แข็ง ที่จะศึกษาลักษณะนั้นให้รู้ว่า เป็นสภาพธรรม หรือผ่านไปเรื่อยๆ แม้ในขณะนี้เอง
เพราะฉะนั้นทุกขณะ ทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมมี ๖ ทาง ทางตา ขณะนี้ ถ้าเว้นข้ามไปหรือไม่รู้ ก็ต้องอบรมจนกว่าจะรู้ จนกว่าจะละความสงสัย และความไม่รู้ จนกว่าจะคลายความที่ยึดถือสภาพธรรมนั้นด้วยความไม่รู้ จนสามารถประจักษ์ความจริงได้ ถ้ายังไม่คลายความติดข้องต้องการปรารถนาที่จะรู้ ขณะนั้นไม่มีทางที่จะรู้
เพราะฉะนั้นถึงอยากก็ไม่รู้ แต่จะรู้ได้เมื่ออบรมเจริญปัญญา ความรู้ขึ้น และความรู้ที่มีเพิ่มขึ้น จะทำให้สติเกิดระลึก เพราะฉะนั้นคนนั้นก็จะเข้าใจว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นสัมมาสติ ก็สอดคล้องกับความเข้าใจเดิมตั้งแต่แรกว่า ธรรมทั้งหลายหรือทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
คุณโจนาธานมีสมบัติมากไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ค่อยมีครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่มีเลยใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ก็คงหวังว่า ไม่มีแล้ว
ท่านอาจารย์ มีเมื่อไร ที่ว่ามี คุณโจนาธานมีสมบัติเมื่อไร
ผู้ฟัง ขณะที่เป็นกุศลก็เป็นสมบัติใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ขณะที่คิดค่ะ ขณะที่ไม่คิด นอนหลับสนิท คุณโจนาธานเป็นเจ้าของอะไรบ้าง เป็นเจ้าของชื่อ “โจนาธาน” หรือเปล่าคะ ไม่มีแม้แต่ชื่อ ชื่อ “โจนาธาน” ก็ไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่เจ้าของชื่อ “โจนาธาน” ด้วย ใช่ไหมคะ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ปัญญาที่จะเกิดขึ้นทำหน้าที่ของปัญญา ขณะนั้น เพราะเหตุว่าไม่มีอะไรปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ต่อเมื่อใดมีปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จิต เจตสิกเกิดขึ้น รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ คุณโจนาธานไม่ได้คิดถึงสมบัติที่มี เพราะว่าเพียงเห็น หรือว่าเวลาที่เสียงปรากฏ ขณะนั้นจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง จิตที่ได้ยินเสียงเป็นของใคร
ผู้ฟัง ไม่มีใคร
ท่านอาจารย์ ไม่มีเจ้าของ เพราะเหตุใดคะ เกิดแล้วดับแล้ว เร็วมาก เพราะฉะนั้นทุกอย่างเกิดแล้วดับไปทั้งนั้น แล้วก็มีความคิดว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา ก็ต่อเมื่อคิด แต่ถ้าไม่คิด แค่เห็น ก็จะไม่มีความคิดว่า เราเป็นเจ้าของจักขุวิญญาณที่เห็น หรือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา
ผู้ฟัง ที่อาจารย์พูดเมื่อกี้นี้ ขณะที่เห็น ไม่มีเจ้าของใช่ไหมครับ เรารู้ด้วยความคิดใช่ไหม ความจำใช่ไหมครับ แต่รู้ด้วยปัญญา มันยากใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะมีทางที่ไม่ใช่เรา ก็ต่อเมื่อรู้ว่า ลักษณะของสภาพรู้จริงๆ คือ ธาตุชนิดหนึ่งที่สามารถเห็น แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถปรากฏเมื่อกระทบจักขุปสาท ปรากฏเมื่อกระทบตา ถ้าไม่กระทบตา อย่างไรๆ ก็ไม่ปรากฏ สิ่งเหล่านี้จะปรากฏไม่ได้เลย ที่เรากำลังเห็นสิ่งต่างๆ อยู่ในขณะนี้
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องจริง ลักษณะจริงซึ่งปัญญาจะสามารถค่อยๆ รู้ความจริงขึ้น จากการฟังแล้วเข้าใจ แล้วก็รู้ว่า ปัญญาจะรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ ทาง