ดีแค่ไหนก็ยังเป็นเราที่ดี
ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ครับ เนื่องจากเคยเป็นพระภิกษุมาก่อน ก็ติดอุปนิสัยบ้าง จะใช้กับคฤหัสถ์ทั่วๆ ไป จะเป็นความปกติหรือเปล่าว่า พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทมากมาย ทำให้พระภิกษุมีการระวัง จะทำอะไรก็ต้องระวัง แม้จะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอนก็ต้องระวัง เพราะมีอาบัติตลอด แต่สำหรับคฤหัสถ์ถ้ามีระวังอย่างนี้จะเป็นศีลหรือเปล่าครับ
ท่านอาจารย์ ศีลระวังเพียงแค่กายวาจา ไม่ถึงใจ เพราะฉะนั้นพระวินัยบัญญัติทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เป็นการอบรมเจริญสังวรอื่น เช่น อินทรียสังวรด้วย ปัญญาก็ไม่สามารถเจริญ เพียงแต่เห็นความสมควรของกายวาจาในเพศบรรพชิตว่าเป็นอย่างไร แต่ความจริงกายวาจาของเพศบรรพชิตเหมาะกับคฤหัสถ์ด้วย คือ ทั้งหมดที่เป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้จำกัดเลยว่าเฉพาะบรรพชิต แต่สำหรับคฤหัสถ์ เมื่อไม่มีบุญ หรือไม่มีอุปนิสัยใหญ่ที่จะดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต จึงเป็นคฤหัสถ์ ที่สามารถมีกายวาจาอย่างเพศบรรพชิตได้ เพราะเป็นสิ่งที่งดงาม เป็นสิ่งที่ดี ขึ้นอยู่กับคฤหัสถ์ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีการสอนเรื่องมารยาท เรื่องกาย เรื่องวาจา แต่ต้องทราบว่า เพียงกาย วาจาไม่สามารถดับกิเลสได้
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีอินทรียสังวรด้วย เพราะเหตุว่ากายจะกระทำสิ่งใด ถ้าสติเกิดระลึก ก็จะไม่ทำสิ่งที่เป็นอกุศล เช่น ศีล ๕ ที่จะล่วง ก็ไม่กระทำ แต่คนที่ไม่สามารถระลึกรู้สภาพของจิตเริ่มจะเป็นอกุศล และมีระดับต่างๆ จนถึงขั้นที่สามารถจะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ เพราะว่าถ้าอย่างมีโลภะ แล้วเราก็ไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นเป็นโลภะ แต่มีความต้องการของใครก็ได้ มือก็เอื้อมไปแล้ว แล้วก็อยู่ที่มือจะเอื้อมไปแล้ว จะหยิบหรือยัง หยิบแล้วยังวางคืนไปหรือเปล่า
นี่ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งต้องอาศัยการสังวรอื่น ไม่ใช่แต่เพียงทางกาย ทางวาจาเท่านั้น แต่สำหรับพระวินัยงามมาก มีคำกล่าวที่ว่า พระภิกษุที่รักษาพระวินัยได้ครบถ้วน จะไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นอรหันต์ หรือไม่เป็นอรหันต์ เพราะเพียงกาย วาจาที่ไม่ล่วงออกไป ก็แสดงให้เห็นว่าเหมือนกับบุคคลนั้นไม่มีอกุศล
ผู้ฟัง ถ้าจะละเอียดกว่านั้น คือระวังว่าจะหลงลืมสติหรือเปล่า จะเริ่มเป็นตัวตนหรือยัง
ท่านอาจารย์ ตัวตนแน่ๆ ค่ะ คือ ตัวตนมีหลายระดับ เราต้องฟังธรรมแล้วก็เข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีตัวตนคือขณะไหน ขณะที่สติปัฏฐานเกิด แล้วเริ่มเข้าใจลักษณะที่ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง จนกว่าจะหมดความไม่รู้ และจนว่าจะหมดความสงสัยในสภาพธรรมที่เกิดดับด้วย จนถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม จึงไม่มีตัวตน
ผู้ฟัง แต่ถ้าเกิดเป็นการรู้สึกตัวว่า ขณะนี้หลงลืมสติแล้ว
ท่านอาจารย์ ก็เดี๋ยวนี้ ก็ขณะนี้ผู้ที่ตรงก็จะรู้ว่า สติปัฏฐานเกิดหรือเปล่า หรือว่าเป็นสติขั้นอื่นที่ไม่ใช่ขั้นสติปัฏฐาน แต่ก็เป็นกุศล เพราะว่าสติเกิด เพราะฉะนั้นปัญญาก็ต้องรู้ละเอียดตามความเป็นจริง ถ้าเราปกปิดหรือว่าพยายามทำ โดยที่ขณะนั้นเหมือนกับว่า เพื่อจะให้ไม่มีตัวตน แต่ขณะนั้นก็ยังมีตัวตน ซึ่งผู้นั้นจะเป็นผู้รู้ตามความเป็นจริงว่า หนทางอื่นไม่มี นอกจากอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม แต่ถ้าเป็นผู้ที่สะสมเป็นอุปนิสัย บางคนก็เป็นทานุปนิสัย บางคนจะเป็นสีลุปนิสัย บางคนก็เป็นภาวนุปนิสัย แล้วแต่ว่าขณะนั้นเขามีนิสัยขั้นใด อย่างบางคนเขาอาจจะเห็นโทษของการพูดคำที่ไม่จริง ตั้งแต่เด็กมาเลย เขาก็ไม่พูด เพราะเขาสะสมมาที่จะเป็นอุปนิสัย แต่ไม่ใช่พระโสดาบัน
เพราะฉะนั้นถึงแม้เขาจะดีถึงระดับที่ไม่พูดสิ่งที่ไม่จริง แต่ก็ยังมีความเป็นตัวเขาที่ดี ยังไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นปัญญาจึงมีหลายขั้น แล้วต้องประกอบกันทั้งพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ทุกอย่างที่ดี คือ เป็นกุศล ถ้าไม่ดีก็เป็นอกุศล แล้วต้องเป็นผู้ตรงว่า ขณะนั้นเป็นอะไร เป็นวรรณจกธรรม หรือเปล่า หลอกหรือเปล่า หรือเป็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง