แต่ละธรรม มีลักษณะแต่ละอย่าง


    ผู้ฟัง อยากจะให้อาจารย์อธิบายเรื่องรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ กับรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ต่างกันไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต่างกันค่ะ เพราะว่าถ้าพูดถึงสภาวธรรมหรือสภาพธรรม ก็มีลักษณะที่ปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ไม่มีลักษณะ เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ ลักษณะนี้คือปรากฏทางตา เสียงก็เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางหู เป็นลักษณะของเสียง เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางหู ทุกอย่างที่มีจริง ก็มีลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้นๆ

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์เคยบอกว่า รู้ลักษณะของสภาพธรรม หมายความถึงลักษณะเฉพาะของสภาพธรรมนั้น ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ใช่ค่ะ

    ผู้ฟัง แล้วอาจารย์ก็เคยบอกว่า รู้นามเป็นนาม รู้แข็งเป็นรูปธรรม ลักษณะเป็นนาม ลักษณะเป็นรูป เป็นอีกลักษณะ นอกจากลักษณะที่เป็นสภาพของรูปกับนาม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ สิ่งที่มีต้องเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ก่อนอื่นตามลำดับ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม มาจากคำว่า “ธาตุ” หรือ “ธา – ตุ” ไม่มีใครเป็นเจ้าของแน่นอน ขณะนี้แม้กำลังเห็น กำลังได้ยิน ก็ต้องทราบว่า ไม่ใช่ของเรา เพราะทันทีที่เห็นแล้วก็ดับ แต่เราไม่รู้ค่ะ ทันทีที่ได้ยินแล้วก็ดับ สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก

    เพราะฉะนั้นเราเข้าใจคำว่า “ธรรม” ก่อน สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น เราเคยเรียกว่า ขนม มะละกอ โต๊ะ เก้าอี้ทั้งหมด เป็นแต่เพียงชื่อ แต่ลักษณะแท้ๆ ของสภาพธรรมมี ๒ อย่าง คือ ลักษณะหนึ่ง ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย อีกลักษณะหนึ่งเป็นสภาพรู้ ได้แก่ จิตกับเจตสิก ซึ่งถ้ามีแต่รูปธรรม จะไม่มีการรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏ แต่ที่เวลานี้เราเห็นเป็นต้นโพธิ์ เห็นเป็นคน เห็นเป็นพระคันธกุฎี ก็เพราะเหตุว่ามีนามธรรมซึ่งเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ และมีการคิดนึกถึงความทรงจำจากที่ได้ยินว่า นี่เป็นพระคันธกุฎี

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มี รูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย นามธรรมเป็นสภาพรู้ แต่เมื่อไม่รู้ความจริงของทั้ง ๒ อย่างนี้ ก็เป็นเราเรื่อยมาในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม มีใครจะคิดว่า มีนามธรรม และรูปธรรมเท่านั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องราว มีคนโน้น มีคนนี้ มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เมื่อฟังธรรมก็รู้ว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีลักษณะ ๒ อย่าง คือ นามธรรมหรือรูปธรรม

    ความโกรธมีไหมคะ

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ มี มองเห็นความโกรธไหมคะ

    ผู้ฟัง มองไม่เห็นครับ

    ท่านอาจารย์ แต่มีความรู้สึก เป็นความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกโกรธมีแน่นอน เพราะฉะนั้นสภาพที่สามารถรู้สึกหรือจำ หรือคิด ชอบ ชังต่างๆ เหล่านี้ เป็นนามธรรม ซึ่งแต่ก่อนเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีในชีวิตประจำวัน ก็มีลักษณะในขณะที่ปรากฏ ซึ่งปัญญาจะต้องค่อยๆ พิจารณาเข้าใจในความไม่ใช่เรา เพราะเป็นรูปธรรม หรือเป็นนามธรรม ที่มีลักษณะแต่ละอย่าง ถ้าโกรธไม่เกิด จะพิจารณาโกรธได้ไหมคะ ไม่ได้ และเวลาที่ความโลภหรือโลภะ ความติดข้องเกิด จะพิจารณาโกรธได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ก็แสดงว่า สภาพธรรมมีลักษณะต่างกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ แต่ลักษณะก็หลากหลายต่างกัน ไม่ใช่ไม่มีลักษณะเลย แล้วเราไปบอกว่าเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม พยายามจะให้เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่สิ่งที่มี ที่ต่างในขณะนั้นเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม มิฉะนั้นก็ยังคงเป็นเรา

    กำลังเห็นอย่างนี้ ถ้ายังเป็นเราเห็น ก็คือการฟังธรรมของเรายังไม่พอที่จะเข้าใจถูกว่า เห็นขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่สามารถจะเห็น ซึ่งสภาพนามธรรมอื่นเห็นไม่ได้เลย ต้องเป็นธาตุชนิดนี้ ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัย คือ สิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขุปสาท ก็เป็นปัจจัยให้เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แล้วก็ดับไป ถ้าเป็นเสียง ก็เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง เป็นโสตวิญญาณธาตุ ธาตุชนิดนี้จะไปเห็นก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแต่ละสภาพธรรมก็มีลักษณะเฉพาะอย่าง ไม่ใช่ไม่มีลักษณะ แล้วก็ไปคิดว่าเป็นนามหรือรูป แต่มีลักษณะเฉพาะอย่าง อย่างเสียงปรากฏ ต้องมีสภาพได้ยิน เสียงนั้นจึงปรากฏได้ เราจะใช้คำว่า รู้ลักษณะของเสียง หรือใช้คำว่า ได้ยินเสียงที่มีลักษณะอย่างนั้น ไม่ใช่ลักษณะอื่น เพราะเสียงก็หลากหลาย แต่แม้ว่าจะเป็นเสียงหลากหลายสักเท่าไร ก็เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏได้ทางหู ไม่สามารถรู้อะไรได้ เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป แต่ธาตุรู้หรือสภาพรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียงนั้น ธาตุรู้ สภาพรู้ที่ได้ยินเสียงก็ดับ ตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ มีอะไรเหลือบ้างไหมคะ ไม่มีใช่ไหมคะ ขณะที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ มีอะไรเหลือบ้างไหมคะ ได้ยินนิดหนึ่งหมดแล้ว คิดนึกนิดหนึ่งหมดแล้ว จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลย ทุกขณะ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็ดับตลอดเวลา เพียงรู้ลักษณะของจิต เจตสิก เกิดขึ้นพร้อมกันแล้วก็ดับ ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย ที่จะไม่ตายนั่นไม่มี แต่ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก ด้วยความรู้หรือความไม่รู้ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เกิดมาแล้ว ยังไม่ตาย ก็ไม่รู้ธรรม เพราะไม่ได้ฟัง แต่ระหว่างที่ยังไม่ตาย มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น


    หมายเลข 8405
    23 ส.ค. 2567