ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิด ก็เพียงจำชื่อ
ผู้ฟัง พูดอย่างนี้ก็เหมือนสนใจสิ่งที่ปรากฏ คือ สนใจเรื่องธรรมมากกว่าสนใจบัญญัติเรื่องราวที่คิดนึก
ท่านอาจารย์ ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิด เราจำชื่อ ใช่ไหมคะ อย่างโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ นี่เราจำชื่อ แต่ขณะนี้ไม่มี แต่ขณะที่มีเราเข้าใจลักษณะนั้น ซึ่งเป็นสภาพธรรมจริงๆ รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จะเรียกชื่ออะไรก็ตรง คือ ถ้าเป็นโลภมูลจิตทิฏฐิวิปปยุตต์ คือ ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย ก็ตรงกับที่ทรงแสดงไว้ ขณะใดที่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็ตรงอีกกับที่ทรงแสดงไว้ ขณะที่เป็นอุเบกขาก็ตรงอีก ขณะที่เป็นโสมนัสก็ตรงอีก คือ เรียนจากสภาพธรรมแล้วก็จะเข้าใจได้ ถ้าเรียนจากชื่อ เราก็ไปหาตัวอย่างกันใหญ่เลยว่า ขณะนั้น ได้แก่ โลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ได้แก่ขณะไหนอย่างไร แต่ไม่ใช่ความเข้าใจในขณะที่สภาพธรรมนั้นเกิดปรากฏ นี่คือความต่างกัน
ได้ยิน คุณชินต้องบอกว่า โสตวิญญาณหรือเปล่าคะ แล้วเสียงต้องมากระทบโสตปสาทหรือเปล่า เห็นไหมคะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ขณะนั้นจะไม่เห็นลักษณะของสภาพที่ได้ยิน ไม่รู้ลักษณะของเสียง