ความลึกล้ำของการสะสมของจิต
ผู้ฟัง ตามปกติเราหลายๆ คนเป็นผู้มีกิเลสกลุ้มรุม และมีอกุศลเกิดขึ้นบ่อย แม้จะมีการฟังธรรม การระลึกศึกษาสภาพธรรมก็มีเหตุปัจจัยเกิดน้อยมาก หรือว่าบางคนก็อาจจะไม่เกิดเลย เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการเห็นการเจริญกุศลอื่นๆ จะเป็นการเจาะจง หรือจะเป็นตัวตนที่จะเจริญไหมครับ
ท่านอาจารย์ เราคงจะไม่ต้องเตรียมแผนการอะไรมาก เพราะว่าชีวิตแต่ละวัน แต่ละขณะ เราบังคับให้เป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้ตามความจริง ทำไมคิดอย่างนี้ ถ้าไม่มีการสะสมมาที่จะคิดอย่างนี้ ก็จะคิดอย่างนี้ไม่ได้ อย่างการที่จะมาที่อินเดีย ก็มีความคิดหลากหลาย มีทั้งคนที่ไม่มาก็ฝากของมา อะไรทำให้คิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นแต่ละคนคิดอย่างไร เขาก็ไม่ได้วางแผนการไว้ก่อน แต่เมื่อขณะใดจิตประเภทใดเกิดส่องไปถึงการสะสมของแต่ละคนที่ต่างกัน
เพราะฉะนั้นเราก็เป็นผู้ที่ได้ฟังธรรมมามาก ทั้งพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม แล้วเราก็เห็นประโยชน์อยู่แล้วว่า อกุศลไม่ดี และกุศลดี แต่เราจะมีกุศลเสมอพระโสดาบันได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะมีกุศลระดับใด จะให้ทานมาก หรือจะเป็นผู้รักษาศีล แต่ก็ยังไม่มั่นคง วันหนึ่งก็ล่วงศีลได้ และทาน ก็เป็นการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น แต่ขณะนั้นจะมีปัญญาที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ไหม
เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะไปคิดถึงเรื่องบารมี แต่ชีวิตของเราทุกขณะเป็นบารมี ถ้าเรามีการฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ เป็นบารมีแล้ว ไม่ต้องไปคิดว่า เราจะทำบารมี หรือหาบารมีอะไรอีก เรามีความอดทน มีขันติเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าขณะนั้นเรามี ก็หมายความว่า เราก็มีการสั่งสมบารมีทีละเล็กทีละน้อยไปด้วยตามความสามารถ เราคงจะทำตามอย่างท่านผู้ทำมาแล้วในพระไตรปิฎก โดยที่ไม่ใช่อัธยาศัยของเรา เช่นจะเดินประทักษิณจนกระทั่งฝ่าเท้าพองไปหมด เราก็คงทำไม่ได้ เพราะว่าต่างคนก็ต่างอัธยาศัย เราสามารถจะเห็นการสะสมตัวจริงของเรา เมื่อสภาพธรรมนั้นเกิด ถ้าสภาพธรรมนั้นยังไม่เกิดตราบใด เราไม่รู้เลยว่า ความลึกล้ำของจิตที่สะสมมาทั้งโลภะ โทสะ โมหะทางฝ่ายอกุศลกับทางฝ่ายกุศลมากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เตือนแล้วว่า อกุศลทั้งหลายยังไม่ได้ดับ ถ้ารู้อย่างนี้ เราก็ทำกุศล คือ พิจารณาเห็นว่า สิ่งนั้นไม่ดี ไม่ถูก เราก็ไม่ทำ อย่างน้อยขณะนั้นก็เป็นการคิดที่เป็นกุศล แต่เราก็ยับยั้งไม่ได้อีก ถ้าถึงเวลาที่จิตจะเกิดเป็นอกุศล ก็เกิดเป็นอกุศลให้เห็นอีกว่ายังมี และเห็นความน่ารังเกียจเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ก่อนนั้นเราไปเห็นความน่ารังเกียจ แต่เวลาที่อกุศลจิตเกิดไม่เห็น แต่ว่าเราจะเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เมื่อสิ่งนั้นเกิดปรากฏ แล้วเราก็เห็นว่า นั่นเป็นโทษ แต่ไม่ใช่เราคิดวางแผนการ คิดได้ค่ะ ไม่ใช่ใครก็คิดไม่ได้ แต่เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นจริงได้ไหม ถ้าทุกคนอยากจะคิดดี ให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ทุกคน แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าให้เข้าใจถูกตั้งแต่ต้นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าเราสะสมสิ่งที่ดีมา แน่นอนค่ะ เป็นปัจจัยให้กุศลจิตในทางนั้นๆ เกิดขึ้น ถ้าเราเคยฟังธรรมแล้วเห็นประโยชน์ แล้ววันนี้เราจะไม่ฟังแล้ว เป็นไปได้ไหมคะ ก็เป็นไปไม่ได้ ก็มีปัจจัยที่จะให้ฟัง มีปัจจัยที่จะให้พิจารณา แล้วอกุศล เราจะมาบอกว่า เราจะไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นความคิดนึกยับยั้งไม่ได้ แต่ความจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง และการจะรู้จักตัวของเราเองชัดเจนขึ้น ต่อเมื่อสิ่งที่สะสมไว้ในจิต มีเหตุปัจจัยเกิด ทำให้เรารู้ว่า นี่คือระดับของกุศลหรืออกุศลที่เราสะสมมา ให้เข้าใจความเป็นอนัตตามากขึ้น เป็นความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงพูดว่า เป็นอนัตตา อย่างพูดว่าเป็นอนัตตา ไม่ได้หมายความว่า เราเข้าใจความเป็นอนัตตา