ค่อยๆเข้าใจความจริง ๑
อ.ประเชิญ การศึกษาธรรมที่เป็นรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ เป็นจำนวน เป็นเรื่องราว ทำให้เรามีข้อมูล มีความรู้ความเข้าใจมากๆ ที่จะพิจารณาธรรมได้ เมื่อสติเกิดขึ้น จะทำให้ระลึกได้ละเอียดมากขึ้นหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ธรรมลึกซึ้ง ขณะนี้ที่กำลังปรากฏ มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งนั้นแค่ไหน เริ่มจากการเป็นปกติในชีวิตประจำวัน มีสภาพธรรมปรากฏเป็นเครื่องทดสอบว่า ที่เราเรียนมาทั้งหมด เราเข้าใจแม้ในเบื้องต้นว่าเป็นธรรม และต่อไปก็คือว่า เป็นสภาพที่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม
เพราะฉะนั้นความรู้ของเราตามลำดับ เราอาจจะเรียนมาก และสิ่งที่เราเรียนไปแล้ว ก็ทำให้เราสามารถเข้าใจสภาพที่กำลังมีอยู่มากหรือน้อยตามระดับการสะสมมา ถ้าเป็นผู้ที่สะสมมา เพียงพบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือสาวกแล้วก็ได้ฟังพระธรรมสั้นๆ ท่านก็สามารถเข้าใจสภาพในขณะนี้ตรง และแทงตลอดในความไม่เที่ยง การเกิดดับทุกอย่างได้ จนรู้แจ้งอริยสัจธรรม
เพราะฉะนั้นเมื่อเราศึกษาพระธรรม จุดประสงค์ก็คือเพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ ก็จะมีเพียงสมถภาวนา การที่จะระงับไม่ให้อกุศลจิตเกิด จนกระทั่งสามารถสงบมั่นคงเป็นสมาธิขั้นต่างๆ แต่ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ได้เป็นสาวกด้วย เพราะเหตุว่าไม่สามารถมีความเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ
เพราะฉะนั้นยุคของเราเป็นยุคที่ห่างไกลพระผู้มีพระภาคถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่ก็ยังมีคำสอนเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนั้นการที่เราศึกษาธรรม เราก็ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ลืม เวลาที่ศึกษาแล้วไม่ลืมว่า ทุกขณะที่เห็น ทุกขณะที่ได้ยินเป็นธรรม ตรงตามที่เราได้เข้าใจ แต่การที่เราจะรู้รายละเอียด เช่น จิตดวงนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร ไม่ใช่วิสัยของเรา
มีใครบ้างที่จะรู้ว่า ขณะนี้มีผัสสเจตสิก เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก เอกัคคตาเจตสิก ชีวิตินทรียเจตสิก มนสิการเจตสิกเกิดกับจิตเห็น เพราะยังไม่รู้เลยว่า เห็นเป็นจิตอย่างไร ฟังมาก็ว่า จิตเป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ แต่ลักษณะล้วนๆ ของธาตุรู้หรือสภาพรู้ไม่ได้ปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งกับสติปัฏฐานที่เพิ่งเริ่มเกิด แต่ว่าความรู้ที่มีแม้เพียงน้อยนิดในขณะนี้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิด แล้วสามารถเห็น สามารถได้ยิน สภาพธรรมนี้มีจริง ก็ทำให้เราไม่หวั่นไหว หรือไม่คลอนแคลนที่จะรู้ว่า การศึกษาของเราทั้งหมดก็เพื่อค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นวันหนึ่ง เราอาจจะเรียนเรื่องนี้มากมาย แต่วันนั้นมีขณะที่สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมหรือเปล่า นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การเรียนของเราทำให้เกิดความเข้าใจมั่นคงที่จะศึกษา “ศึกษา” ที่นี้คือ มีสภาพธรรมปรากฏ ศึกษา คือ ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมนั้นตรงกับที่เราได้เรียน
นี่ก็เป็นเรื่องที่เราคงเคยฟังมาแล้วมาก ไม่ใช่ไม่เคยฟังเลย แต่ถ้าตราบใดที่สติปัฏฐานไม่เกิด สิ่งที่เราฟังมาก็ผ่านไปๆ แล้วค่อยๆ เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งที่สติจะเกิดในขณะไหนก็ได้ แม้ในขณะนี้ที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะเหตุว่าขั้นการศึกษาก็ทราบว่า สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมาก เร็วจนกระทั่งยากที่จะรู้ว่า ที่เราได้ศึกษามาแล้ว ก็คือเพื่อประโยชน์ที่สติจะเกิดเริ่มระลึกลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง ทีละอย่างค่ะ เราไม่สามารถจะไปรู้อย่างผู้ที่ ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือสาวกที่เป็นพระอรหันต์ ที่จารึกคำสอนจนกระทั่งถึงเรา เรารู้ไม่เท่าท่านเหล่านั้นแน่นอน แต่เราก็มีความสามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ ขั้นที่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรมก่อน ไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย
เพราะฉะนั้นการเรียนก็จะทำให้วันหนึ่งซึ่งสภาพธรรมปรากฏ เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า สภาพอะไร ขณะไหน ปรากฏในลักษณะอย่างไร เพราะว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง เราจะไปเลือกให้สิ่งนั้นเกิดปรากฏ สิ่งนี้เกิดปรากฏไม่ได้ เพราะว่าทุกอย่างที่สติเกิดระลึก ปัญญาสามารถค่อยๆ รู้ จนกระทั่งคลายความเป็นเรา หรือคลายความเป็นตัวตนได้ แต่ต้องเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ให้ทราบว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง พระปัญญาคุณตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมโดยถ่องแท้ โดยละเอียด โดยสิ้นเชิง แล้วทรงแสดงทั้งหมดเพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลก สามารถอบรมเจริญปัญญารู้ตามได้
พิสูจน์ด้วยตัวเองค่ะ เป็นปัจจัตตัง ปัญญาของใครก็ของคนนั้น แล้วไม่มีการท้อถอยเลย เพราะเหตุว่าเมื่อเราได้มาถึงการที่ได้ฟังพระธรรม และสามารถเข้าใจพระธรรม ในขณะที่กำลังปรากฏ ก็รู้ว่าเป็นธรรมที่มีจริง
นี่ก็เริ่มต้น และก้าวไปเรื่อยๆ