เดือดร้อนเมื่อไหร่คือ...เรา
คุณนีน่า ไม่ต้องบอกว่า รู้ลักษณะของโลภะ หรือโทสะ มานะ ยากไป เวลาเริ่มศึกษาใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ไม่มีกฎเกณฑ์เลย เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ศึกษาธรรมด้วยความเข้าใจ ไม่มีเครื่องกั้นที่เป็นเราที่อยากจะรู้ เพราะเราอยากจะรู้ก็ไม่รู้ แต่การที่เราฟังแล้วเข้าใจ ต้องมีขณะที่สัมมาสติเกิด แต่เมื่อไรไม่มีใครสามารถรู้ได้ ถ้าอยากปุ๊บ ไม่รู้แล้ว อยากจะมีสติตรงนั้นก็คือไม่มี แต่เวลาที่มีความเข้าใจขึ้น และสัมมาสติเกิด ขณะนั้นจะรู้ได้เลยค่ะว่าเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นก็จะมีความเข้าใจสภาพธรรมโดยความเป็นอนัตตาตั้งแต่ต้น และโดยการละตั้งแต่ต้นด้วย เพราะเหตุว่าเรื่องของการละเป็นเรื่องที่ยากที่สุด โลภะเกิดเดี๋ยวนี้ ละได้ไหม ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น ละสักหน่อยก็ยังละไม่ได้ ความที่เขาสะสมมามาก เพราะฉะนั้นก็เห็นกำลังของโลภะว่า มีทุกอย่างเป็นอารมณ์ได้ เว้นโลกุตตรธรรม
เพราะฉะนั้นโลภะเป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง ถ้าไม่รู้ เราก็ทำตามโลภะไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็คือศึกษาไป โดยการที่รู้ว่า ทุกคนมีอกุศลเป็นของธรรมดา ถ้าเดือดร้อนกับอกุศลเมื่อไร เมื่อนั้นก็คือเรา ไม่ได้เข้าใจว่าเป็นอนัตตา ไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรม แต่ถ้าขณะใดมีการระลึกได้ว่าเป็นธรรม จะเพียงขั้นคิด ขณะนั้นก็เป็นกุศลระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้จิตสงบได้ แต่ปัญญาไม่สามารถรู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นก็มีกุศลหลายขั้น หลายระดับซึ่งเราไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ว่า ขณะนี้ให้เป็นกุศล ขณะนั้นให้เป็นอกุศล หรือขณะที่เป็นอกุศล ขอให้เป็นอกุศลน้อยๆ และขอให้กุศลเกิดแทน คือ ธรรมเป็นเรื่องของปัญญาที่ค่อยๆ มั่นคงในความเป็นอนัตตาขึ้น ก็จะทำให้เราไม่เดือดร้อนเวลาที่อกุศลจิตเกิด หรือบางคนพอเรียนเรื่องอกุศล ก็กลัวอกุศลเหลือเกิน กลัวก็คือเรากลัว ยังมีเราอยู่ แต่อกุศลยั่งยืนหรือเที่ยงหรือเปล่า และเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ แล้วก็ใครไม่มี ถ้ารู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้เราก็ไม่เดือดร้อน เดี๋ยวก็จะมีคนบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นอกุศลไปเรื่อยๆ หรือเป็นอกุศลมากเพิ่มขึ้น นั่นคือไม่เข้าใจการสะสมของปัญญาซึ่งเป็นสังขารขันธ์ ต้องไม่ลืมว่า อวิชชานำมาซึ่งอกุศลทั้งปวง และวิชชาก็นำมาซึ่งกุศลทั้งปวงด้วย