ธรรมที่นำออก


    ผู้ฟัง ในชีวิตประจำวัน ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ แทบจะทั้งวันเลย เป็นไปด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง และโมหะบ้าง ถ้าเราเจริญกุศลบ่อยๆ เนืองๆ ในเรื่องทาน เรื่องศีล ก็คงไม่เป็นเหตุปัจจัยเพียงพอ ใช่ไหมคะ ที่จะทำให้ออกจากสังสาระ เพราะฉะนั้นเหตุปัจจัยที่สำคัญที่นำออกจากสังสาระ ก็คงเป็นการศึกษาพระธรรมในเรื่องพระอภิธรรมให้เข้าใจ ทีนี้ในการศึกษาพระอภิธรรมให้เข้าใจ จะต้องเริ่มจากการศึกษาเรื่องราวอย่างไรบ้างคะ

    ท่านอาจารย์ ทุกคนก็พูดถึงชีวิตประจำวัน ซึ่งก่อนการตรัสรู้ก็มีการเจริญกุศลประการต่างๆ เช่น ทาน ก่อนการประสูติ การตรัสรู้ การทรงแสดงธรรมก็มีเป็นของประจำโลก ศีลก็มี สมถภาวนา ความสงบของจิตก็มี แต่ไม่มีใครสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่มีหนทางที่ทาน หรือศีล หรือสมถภาวนาจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ จนกว่าผู้ที่ได้สะสมบารมีพร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลใด ก็จะมีการตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็ทรงแสดงหนทางเพื่ออุปการะสัตว์โลกให้สามารถอบรมเจริญปัญญาให้สามารถรู้แจ้งสภาพธรรมนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้นกาลที่มีการประสูติ การตรัสรู้ การทรงแสดงธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่มีบุญที่ได้สะสมมาแล้ว ก็มีโอกาสที่แม้ว่า เหตุการณ์จะผ่านไปถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่ก็ยังมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่สืบทอดกันมาจากการทรงแสดงธรรมของพระองค์ ก็ยังเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่จะได้ฟัง ได้ศึกษา ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกทรงแสดงธรรมทุกประการ เรื่องของทานก็ละเอียดมาก เพราะเป็นเรื่องของจิต ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจความละเอียดของธรรม ก็จะเป็นเพียงการให้ทานเท่านั้น แต่ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจความละเอียดของธรรม ก็จะรู้สภาพของจิตในขณะที่กำลังให้ทานด้วย

    นี่เป็นประโยชน์ด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเราให้ทานเหมือนเดิม แต่ไม่สามารถเข้าใจสภาพของจิตในขณะที่ให้ทาน

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นกุศลระดับใดทั้งสิ้น ก็ไม่ใช่ว่าเมื่อเข้าใจพระธรรมแล้ว ก็จะไม่มีกุศลแบบนั้นอีกต่อไป คือ จะไม่มีทาน ไม่มีศีล ไม่มีสมถะ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่ปัญญาสามารถทำให้สามารถละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตน เพราะเมื่อศึกษาพระอภิธรรมแล้วก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมจึงเรียก “อภิ – ธรรม” เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่ละเอียดมาก เมื่อตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมนั้น ซึ่งใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนั้นได้

    ด้วยเหตุนี้ ความจริงนั้นจึงเป็นอภิ – ธรรม ด้วยความละเอียดยิ่ง ด้วยความประเสริฐยิ่งที่สามารถทำให้ผู้ที่ได้ศึกษา มีโอกาสได้เข้าใจสภาพธรรมแท้จริงว่า เป็นธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่เป็นของใคร ทุกขณะในขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วปรากฏ ถ้าสิ่งใดขณะนี้ไม่ปรากฏ หมายความว่า สิ่งนั้นยังไม่ได้เกิด จึงไม่ได้ปรากฏ หรือมิฉะนั้นสิ่งนั้นก็เกิดแล้ว ดับไปแล้ว โดยที่ไม่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะที่จะทำให้สภาพธรรมนั้นปรากฏ

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็จะทำให้เข้าใจความหมายของธรรม หรือตัวธรรมตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยขาดธรรมเลย เพียงแต่ปัญญาของผู้ที่เริ่มศึกษาสามารถเข้าใจธรรมได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงมีทั้งขั้นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าไม่อาศัยคำ ก็ไม่มีการเข้าใจลักษณะสภาพของธรรมซึ่งหลากหลาย เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม คือ จิต และเจตสิกประเภทต่างๆ เป็นรูปต่างๆ ด้วย

    เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยคำหรือบัญญัติ เพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังมีโอกาสเข้าใจความหมายของคำนั้นว่า หมายความถึงสภาพธรรมใด แต่เพียงคำที่เข้าใจ ไม่ทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จนกว่าผู้ที่ศึกษาเข้าใจจริงๆ ว่า พระธรรมทั้งหมดทรงแสดงเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงทุกขณะในชีวิตประจำวัน เมื่อนั้นความเข้าใจสภาพธรรมของเขาก็จะละเอียดขึ้น แล้วก็รู้ว่าการฟัง เป็นแต่เพียงแนวทางที่จะทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญ ค่อยๆ อบรมจนกว่าสามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมตามที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ซึ่งก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมาก

    ได้คุยกับท่านผู้หนึ่งระหว่างที่รับประทานอาหารเช้าในเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ได้ยินเรื่องรูปารมณ์ สภาพธรรมที่ปรากฏทางตาตลอดมา หรือตลอดไปอีก แต่การที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ไม่มีทางอื่นค่ะ ไม่ใช่เรามีตัวตนที่พยายามจะไปจ้อง หรือพยายามทำอย่างอื่น ที่จะให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญา แต่เป็นความเข้าใจว่า เราที่สามารถที่จะทำ ที่จะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมได้

    เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นการฟังที่ละเอียดขึ้นที่จะรู้ว่า ปัญญารู้อะไร และปัญญาจะอบรมได้อย่างไร คือรู้ว่า ปัญญาต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏได้ ถ้าไม่สามารถจะรู้ได้ ก็หมายความว่าไม่ใช่ปัญญาระดับที่สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เป็นแต่เพียงปัญญาที่เกิดจากการฟัง การคิด การไตร่ตรอง ซึ่งไม่มีใครบังคับว่า อย่าคิด อย่าไตร่ตรอง ไม่ได้เลยค่ะ เพราะเหตุว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตนสักขณะเดียวซึ่งจะไปสั่ง หรือไปทำให้เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้น แต่สภาพธรรมทุกขณะที่ปรากฏ เกิดแล้ว ต้องทราบว่า ที่ปรากฏเกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้นก็น่าจะเบาใจ คือ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย แต่ว่าสะสมโดยการฟังให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมี ให้มั่นคง จนกระทั่งสามารถเห็นความต่างของปัญญาซึ่งเกิดร่วมกับสติในขณะที่ฟังว่า ต่างกับปัญญาในขณะที่เกิดร่วมกับสติสัมปชัญญะในขณะที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ฟังมานานแล้ว แม้ในขณะนี้ก็มี กำลังปรากฏ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยว่า มีปัจจัยพร้อมพอที่สติปัฏฐานจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมหรือยัง และเมื่อสติปัฏฐานเกิดแล้ว ผู้นั้นก็เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า ไม่มีหนทางอื่น เพราะเหตุว่าสภาพธรรมมีลักษณะจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ถ้าเพียงคิด หรือทำอย่างอื่น คิดว่าจะเป็นเครื่องประกอบหรือเครื่องอุดหนุน เป็นอุปการะแก่การที่จะให้สติปัฏฐานเกิด ก็จะเป็นผู้ทำอย่างนี้ไปเรื่อย โดยตลอด โดยที่ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสามารถที่มีปัจจัยจากการฟังเข้าใจที่จะไม่กั้นสติปัฏฐาน แต่แล้วแต่สติปัฏฐานเกิดขึ้นเมื่อไร ก็เป็นขณะที่กำลังศึกษา พยายามค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดแล้ว ปรากฏแล้วในขณะนี้ ตามปกติ

    เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็จะเป็นผู้ฟังพระธรรมด้วยความเข้าใจว่า ทรงแสดงเรื่องของสภาพธรรมในขณะนี้ จนกว่าสติปัฏฐานจะเกิดระลึก เมื่อเกิดแล้ว ก็ยังต้องค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏตามความเป็นจริง ซึ่งก็เป็นอริยสัจธรรมตามลำดับ คือ ตั้งแต่ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ และมรรคสัจ

    ก็เป็นเรื่องที่ผู้นั้นเป็นผู้ตรงว่า ไม่มีตัวตนที่ต้องการอะไรอื่น ต้องการไปทำทาน หรือรักษาศีล เพื่อสิ่งนี้ แต่รู้ว่า เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องละ เมื่อปัญญาเกิดขึ้น คือ วิชชาเกิดขึ้น ย่อมนำมาซึ่งกุศลทั้งปวง ไม่ต้องห่วงว่า ผู้ที่มีปัญญาแล้วจะไม่ทำกุศล หรือเจริญกุศล แต่ว่าผู้ที่มีปัญญา สามารถเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สะสมกุศลประเภทใด และไม่ว่าอกุศลเกิดขึ้น ก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ขณะใดที่กุศลเกิดขึ้น หรือว่าจะเจริญกุศลประเภทใด ขณะนั้นก็ตามเหตุตามปัจจัย ที่ได้สะสมมา

    เพราะฉะนั้นจุดสำคัญ คือ เข้าใจสภาพธรรมให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ เพื่อเป็นการละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะเหตุว่าไม่ทราบว่า ทุกคนชาติต่อไปจะอยู่ที่ไหน แต่ชาตินี้อยู่ที่นี่ ได้มีโอกาสกราบนมัสการบูชาระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย ก็เป็นการที่เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้บุคคลทั้งหลายมีโอกาสมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เท่าที่จะกระทำได้


    หมายเลข 8426
    23 ส.ค. 2567