ต้องเริ่มให้ถูก
ผู้ฟัง ขอถามเรื่องการเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันนะครับ สำหรับคนเราต้องเริ่มเจริญในขั้นต้น ในคำสอนของพระพุทธเจ้า มีสิ่งที่ควรรู้ ควรศึกษา หมายความว่าไม่รู้ ไม่ศึกษา จะเจริญสติปัฏฐานไม่ได้ และมีสิ่งที่จะรู้ จะศึกษาก็ได้ แต่ว่าไม่รู้ ไม่ศึกษา จะเจริญสติปัฏฐานได้ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ ไม่ศึกษา และใครจะเจริญสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาที่รู้ ไม่ใช่เป็นเราเลยค่ะ ถ้าไม่มีความรู้เรื่องลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดจากการฟัง เวลาฟัง ทุกคนก็ฟัง แต่ขณะที่ฟังแล้ว เข้าใจมากน้อยต่างกัน ถ้าเราฟังเพียงครั้งสองครั้ง แล้วเราจะไปเจริญสติปัฏฐานก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมต้องสอดคล้องตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสุดท้าย ในเมื่อทราบว่า ทุกอย่างเป็นธรรมก็จริง แล้วก็ทราบด้วยว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ๒ คำนี้ลืมไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นธรรม ก็คือไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นปัญญาที่ได้ฟังพระธรรม มีการพิจารณาเข้าใจถูกต้องว่า ขณะนี้เป็นสภาพธรรมซึ่งปัญญาสามารถอบรมจนประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ แต่ละอย่าง อย่างทางตาที่กำลังเห็นก็ไม่ใช่ทางหูที่กำลังได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่กำลังคิดนึก
เพราะฉะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ แล้วแต่ปัญญาชองใครถึงขั้นที่สติปัฏฐานมีปัจจัยที่จะเกิด ก็ระลึกเป็นปกติ ธรรมเป็นธรรมดา เป็นปกติ ขณะนี้เอง แต่ท่านที่เคยอยู่ ณ สถานที่นี้เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี อย่างที่พระคุณเจ้าท่านกล่าว ก็เต็มไปด้วยพระอรหันต์ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระอานนท์เป็นต้น
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ท่านเหล่านั้นก็เห็นอย่างนี้ เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี และมีจิตที่คิดนึกด้วย ทุกอย่างเป็นปกติ แต่ว่าปัญญาที่ได้อบรมแล้วสามารถจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามลำดับขั้น จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ และไม่ใช่แต่เฉพาะถึงความเป็นพระโสดาบัน ถึงความเป็นพระอรหันต์ และไม่ใช่พระอรหันต์ที่เป็นสาวกธรรมดา แต่เป็นผู้มีคุณวิเศษ เป็นเอตทัคคะในทางต่างๆ
เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมที่มี ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นปกติที่สุด แล้วปัญญาจะรู้อะไร เป็นธรรมดาๆ อย่างนี้ ที่กำลังเห็น ที่กำลังได้ยิน ที่กำลังคิดนึก แต่ผู้ที่ศึกษาแล้ว อบรมเจริญปัญญาแล้ว สามารถเข้าใจได้ว่า ไม่ใช่เพียงเห็นแค่นี้เหมือนเคย แต่จะต้องมีการประจักษ์แจ้งสภาพที่แท้จริงจนสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
เพราะฉะนั้นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่เราจะทำ แต่ต้องเป็นเรื่องเห็นถูก เข้าใจถูกว่า ทุกขณะที่เกิดเป็นสภาพธรรมที่มีเหตุมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ เฉพาะอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น จะสลับสับกันก็ไม่ได้ แล้วแต่ว่าเป็นปัจจัยของสภาพธรรมใด สภาพธรรมนั้นเกิด ถ้าเรามีความมั่นคงอย่างนี้ เราก็ค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนั้นไม่ใช่มีความจงใจ ตั้งใจ แต่ขณะที่เกิดระลึกที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้น ขณะนั้นก็มีสภาพธรรมที่เป็นโพธิปักขิยธรรมที่ค่อยๆ เจริญขึ้น เช่น สติ ก็ต้องมี วิริยะ ก็ต้องมี อินทรีย์ต่างๆ ก็ต้องมี จนกว่าจะถึงความเป็นพละ ถึงความเป็นโพชฌงค์
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การที่ไม่เคยรู้อะไรมาก่อนเลย แล้วเริ่มรู้ เริ่มเข้าใจ เริ่มศึกษา ก็จะรู้ว่า มีอีกมากมายที่ปัญญาต้องรู้เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย แล้วจะไปเป็นพระโสดาบัน แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า ขณะนี้มีสภาพธรรม ปัญญารู้หรือเปล่าในขณะที่กำลังเห็น ในขณะที่กำลังได้ยิน ถ้าไม่รู้นะคะ เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นหรือเปล่า เพราะเหตุว่าปัญญาในภาษาบาลีก็ต้องเริ่มด้วยความเข้าใจถูก ปัญญา คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในขั้นการฟัง ในขั้นที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นสภาพธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้นแล้วแต่สติจะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมไหน ก็แล้วแต่สติ