อย่ารู้แต่ชื่อ จนหาสภาพธรรมไม่เจอ
ผู้ฟัง ที่อาจารย์พูดเมื่อกี้นี้ คืออะไรครับ
ท่านอาจารย์ โพธิปักขิยธรรม ๓๗
ผู้ฟัง เป็นสภาพธรรมมีลักษณะชนิดหนึ่ง ใช่ไหมครับ ไม่ทราบลักษณะของวิริยะจะรู้ได้ในชีวิตประจำวันไหมครับ
ท่านอาจารย์ สภาพของเจตสิกทั้งหมดมีใช่ไหมคะ วิริยะก็เป็นเจตสิกหนึ่ง จะรู้วิริยะได้ไหม
ผู้ฟัง ถ้าปรากฏเกิดขึ้น จะรู้ได้
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว เราพูดถึงปัญญาของผู้ที่รู้แล้ว ที่ท่านรู้ละเอียดมาก ท่านสามารถรู้ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ มนสิการ อกุศลเจตสิก โสภณเจตสิก เพราะท่านเหล่านั้นท่านรู้ว่าเป็นธรรมก่อน แต่เรารู้ชื่อก่อน แล้วเราก็หาไม่เจอ อย่างขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ผัสสเจตสิกอยู่ที่ไหน เวทนา สัญญา เจตนาอยู่ที่ไหน เราหาธรรมไม่เจอเลย เราได้ยินแต่ว่าเป็นธรรม แล้วก็รู้ว่ามีธรรมด้วย แต่เราไม่รู้ลักษณะแท้จริงของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด จนกว่าสติปัฏฐานจะเกิดระลึก แล้วถึงจะรู้ว่า สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมด เมื่อมีปัญญาแล้วจึงรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมชนิดหนึ่งๆ ๆ ๆ ซึ่งต้องเป็นปัญญาที่เกิดพร้อมสติจึงระลึกได้ มิฉะนั้นเราก็จะศึกษาเรื่องลักษณะของเจตสิกต่างๆ แต่ว่าลักษณะของเจตสิกต่างๆ ก็เกิดไป ดับไป พร้อมๆ กันอย่างรวดเร็ว แต่ว่าสติไม่ได้ระลึกลักษณะของเจตสิกใดเลย
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นปัญญาก็จะต้องอบรมเจริญขึ้นตามลำดับ ยังไม่ต้องไปห่วงว่า เราจะรู้ลักษณะของเจตสิกอะไร หรือจิตประเภทไหน หรือธรรมอะไร แต่ให้ทราบว่า ก่อนอื่นมีความมั่นใจจริงๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะธรรมหมายความถึงธาตุ หรือ “ธา – ตุ” เป็นสิ่งที่มี เป็นสิ่งซึ่งเกิดปรากฏ ซึ่งถ้าปัญญาไม่เกิด สติปัฏฐานไม่เกิด ก็ไม่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นได้
เพราะฉะนั้นแม้ว่าสภาพธรรมจะมี ก็ไม่รู้ จนกว่าจะฟังเพิ่มขึ้น เข้าใจเพิ่มขึ้น และเวลาที่สติปัฏฐานเกิดก็จะรู้ว่า ขณะนั้นต่างกับขณะที่หลงลืมสติ
ทุกคนคงจำพระโอวาทสุดท้ายได้ ใช่ไหมคะ ปัจฉิมโอวาท ตั้งแต่ปลงอายุสังขาร แล้วแสดงเรื่องของสติปัฏฐานตลอดระหว่างที่จะมาปรินิพพานที่นี่