ศึกษาธรรมแบบไหน ๑
ผู้ฟัง เคยฟังมาว่า การศึกษาเพื่อเข้าใจ คือ ศึกษาสภาพธรรมที่ตัวเราเองสามารถเข้าใจได้ ตรงนี้หมายความว่าเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ หรือว่าค่อยๆ เข้าใจลักษณะของการศึกษาระดับปริยัติครับ
ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่า “ศึกษา” คืออะไร ถ้าใช้คำว่า เรากำลังศึกษาธรรม หรือที่มานั่งอยู่ตรงนี้ ฟังธรรม ศึกษาธรรม ก็คือศึกษาให้เข้าใจตัวจริงของธรรมซึ่งมี เราไม่ได้ศึกษาสิ่งที่เลื่อนลอยเลย แต่ศึกษาสิ่งที่มีอยู่ทุกวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย ให้รู้ความจริงว่า สภาพนั้นๆ ไม่ใช่เรา ต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อนว่า การศึกษาธรรมไม่ได้ศึกษาตามหนังสือ ตามตัวเลข แต่ธรรมตัวจริงอยู่ที่ไหน ไม่รู้ ถ้าคนไม่รู้ว่า ธรรมตัวจริงอยู่ที่ไหน และก็ศึกษาธรรมเป็นชื่อ เป็นคำ เขาก็ไม่รู้ว่า เขากำลังศึกษาอะไร แต่ถ้าเรามีความเข้าใจว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ พระธรรมที่ทรงแสดง ก็ทรงแสดงเรื่องความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ แต่เมื่อธรรมนั้นเกิดปรากฏ ไม่ใช่เป็นเพียงการคิดเอา
ขณะนี้มีจิต ศึกษาเรื่องจิต ว่าจิตเป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ เป็นลักษณะรู้ ขณะนี้เห็น เป็นจิตหรือเปล่า แค่นี้ถ้าฟังใหม่ๆ ก็อาจจะงง เพราะว่าเราทุกคนก็ทราบว่ามีจิต แต่ไม่เคยรู้จักจิตที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่า จิตที่ทุกคนเข้าใจลางๆ ว่า มี มีลักษณะอย่างไร เป็นสภาพที่ต่างกับเจตสิกอย่างไร
เพราะฉะนั้นเวลาที่ศึกษาธรรม ก็ศึกษาตั้งแต่ขั้นต้นที่มีคำซึ่งแสดงให้เห็นว่า หมายถึงธรรมประเภทไหน มีลักษณะอย่างไร แต่ต้องเป็นตัวจริงของธรรม เช่น ในขณะนี้ที่กำลังเห็น เป็นจิตหรือเปล่า เราเรียนเรื่องจิต และขณะนี้ที่กำลังเห็นเป็นจิตหรือเปล่า หรือตอบว่าจิตตามตำรา แต่ว่าตัวจริงที่กำลังเห็น จะเป็นจิตอย่างไรไม่ทราบ แต่ต้องตรงกัน คือ เมื่อศึกษาว่าจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นสภาพที่สามารถรู้แจ้งลักษณะของอารมณ์ คือ สิ่งที่จิตกำลังรู้ชัดเจน เพราะเหตุว่าขณะนี้อะไรกำลังปรากฏ จิตรู้แจ้งในลักษณะนั้น เพียงรู้ ถ้าเป็นจิตที่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก็เพียงเห็น ขณะนี้ที่กำลังเห็น ใบไม้เห็นไม่ได้ คนตายก็เห็นไม่ได้ แต่ขณะที่เห็น มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นกับจิตที่เห็น ไม่ใช่จิตที่ได้ยิน ไม่ใช่จิตที่คิดนึก การฟังธรรม ต้องค่อยๆ ฟัง และจะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ยากที่จะต้องประจักษ์ ซึ่งการศึกษาว่ายากแล้ว แต่การที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ศึกษา ยิ่งยากกว่านั้น เพราะเหตุว่าต้องพิจารณา ต้องเข้าใจ เราศึกษาเรื่องจิตตามตำรามาแล้ว และขณะนี้จิตกำลังมีให้เราศึกษา ทางตาที่กำลังเห็น ขณะนี้เอง
นี่คือการศึกษาอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่การศึกษาเพียงชื่อ แต่ศึกษาลักษณะจริงๆ ของจิตที่กำลังเห็น ศึกษาลักษณะของจิตที่กำลังได้ยิน ในขณะนี้ เพราะถ้าจิตไม่เกิดขึ้นได้ยิน เสียงก็ปรากฏไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ที่เราเรียนทั้งหมด เราจะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มี เมื่อมีการระลึกที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นต้องเป็นสติแล้วค่ะ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าเราจะคิดดีคิดร้ายอย่างไร ก็คือสภาพธรรม ไม่ใช่เป็นเราพออกุศลเกิด ก็พยายามคิดดี เป็นเราที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แม้ขณะที่คิดที่ทำอย่างนั้นก็เป็นจิต เป็นเจตสิก ไม่มีสักขณะเดียวเลยซึ่งสภาพธรรมจะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุปัจจัย แต่ว่าปัญญาจะต้องรู้ทั่วจริงๆ จึงจะละได้ เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมปรากฏ เมื่อไม่รู้ จะละความไม่รู้ และความสงสัยในสิ่งที่กำลังปรากฏได้อย่างไร ซึ่งผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลดับความสงสัยในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังเกิดดับจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ถึงจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ไม่ใช่ยังมีความสงสัยอยู่ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วจะไปละอะไร ในเมื่อวันหนึ่งๆ ก็มีสิ่งที่ปรากฏ คือ เห็นทางตา ได้ยินทางหู ได้กลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก ก็มีอยู่เท่านี้ ทุกวัน ทุกชาติ ไม่เกินกว่านี้เลย แล้วจะให้รู้อะไรนอกจากนี้ การตรัสรู้ของพระองค์ไม่ใช่ตรัสรู้อย่างอื่น แต่ตรัสรู้ธรรมที่มี ที่ปรากฏให้รู้ แล้วก็ทรงแสดงหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาว่า ถ้าเป็นปัญญาก็ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏนี่แหละ ไม่ใช่ไม่รู้สิ่งนี้ แล้วไปพยายามไปรู้สิ่งอื่น จะไม่มีการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้น เป็นปกติ ตามความเป็นจริง ถ้าเป็นอย่างนั้น