ปัญญาของเราแค่ไหน
ผู้ที่จารึกคำสอนสืบทอดมาถึงเราสมัยนี้ ท่านเป็นใคร ท่านมีกิเลสหรือเปล่า ท่านมีความรู้ขนาดไหน ไม่ใช่พระโสดาบันนะคะ พระอรหันต์ด้วย และความรู้ของพระอรหันต์ จากปุถุชนกว่าจะถึงพระโสดาบัน กว่าจะถึงพระสกทาคามี กว่าจะถึงพระอนาคามี กว่าจะถึงพระอรหันต์ ความรู้ท่านแค่ไหน ความรู้ของพระอรหันต์ต้องต่างกับพระโสดาบันแน่นอน ความรู้ของโสดาบันก็ต้องต่างกับปุถุชนด้วย
เพราะฉะนั้นเราได้ยินอะไรก็ตาม อ่านอะไรก็ตามจากพระไตรปิฎก เหมือนเราจะไปรู้อย่างนั้นได้ไหม หรือเราเห็นความรู้ของพระอรหันต์ที่สืบทอดมาจากที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ท่านพระอรหันต์เหล่านั้นแม้แต่ท่านพระสารีบุตร หรือท่านมหาสาวกทั้งหลาย ท่านอยู่ในป่าโคสิงลสาลวัน และท่านก็ถามกันว่า ป่าโคสิงลสาลวันจะงามด้วยเหตุอะไร ต่างคนต่างตอบ ท่านพระสารีบุตรก็ตอบอย่างหนึ่ง ท่านพระมหากัสสปะก็ตอบอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ก็ตอบอย่างหนึ่ง ทั้งหมดไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เพียงคำถามนี้ เพราะความเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรมสูงสุด ท่านไม่ถือความเห็นของท่านเลย เพราะแต่ละท่านเป็นผู้ที่มีความรู้มาก
ฟังดูไม่ใช่เรื่องลึกลับ ลี้ลับ แค่ป่าโคสิงลสาลวันจะงามด้วยเหตุอะไร เท่านั้นค่ะ เมื่อต่างคนต่างตอบก็ไปกราบทูลถาม พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า ถูกทุกคน เพราะแต่ละสิ่งนั้นต่างก็ทำให้ป่าโคสิงลสาลวันงามทั้งนั้น ไม่ใช่ทำให้ไม่งาม
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้เลยว่า เราต้องเป็นผู้รู้จักตัวของเรา เราสามารถเข้าใจพระธรรมได้แค่ไหน แล้วเราก็ต้องเข้าใจพร้อมกับการอบรมเจริญปัญญาด้วย มิฉะนั้นเราก็เป็นใบลานเปล่า สามารถตอบเรื่องราวของปริยัติได้หมด แต่สติปัฏฐานไม่เกิด และไม่รู้ความต่างของขณะที่สติปัฏฐานเกิด เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถอบรมเจริญสติปัฏฐานได้
กี่ชาติ สภาพธรรมก็ปรากฏอย่างนี้ แล้วสิ่งที่เราเรียนมาแล้วมากมาย เราก็ลืมไป ชาติก่อนต้องมีคนเคยฟังแน่ๆ เลย เรื่องพระอภิธรรม เรื่องจิต เรื่องเจตสิก มากหรือน้อยก็ต้องต่างกัน และชาตินี้ตั้งต้นใหม่อีก จิตคืออะไร เจตสิกคืออะไร เกิดร่วมกันอย่างไร แต่ถ้าเป็นผู้ศึกษาธรรม เพราะมีธรรมปรากฏ อย่างผู้ที่ไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พอพูดเรื่องโลภะ ท่านสามารถเข้าใจได้ พูดเรื่องโทสะ ท่านก็สามารถเข้าใจได้ เพราะมีลักษณะของความติดข้อง ในขณะนี้ใครไม่มี แต่ใครรู้ ผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญามาพอ แม้ขณะนี้มีความติดข้องก็ไม่รู้ ไม่สามารถรู้ได้ แต่ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา ไม่ว่าจะตรัสสภาพธรรมอะไร เขาสามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ตัวจริงของธรรมที่กำลังมี
เพราะฉะนั้นถ้าเราศึกษาพระธรรมด้วยการไตร่ตรอง ด้วยความละเอียดรอบคอบ แม้แต่คำว่า “ธรรม” ซึ่งเป็นธาตุ หรือ ธา – ตุ อย่าคิดว่าเรารู้แล้วหรือประจักษ์แล้ว เพียงแต่เรากำลังเรียนให้รู้ว่า ขณะนี้ไม่ใช่เรา เพราะอะไร เพราะฉะนั้นการศึกษาของเราก็จะมั่นคง และจะเป็นพื้นฐานให้สติสัมปชัญญะเกิด แม้ในขณะที่ฟังสติก็ระลึกได้ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แค่นี้เราศึกษากี่ชาติที่จะเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และก่อนจะปรากฏมีไหม สิ่งที่ปรากฏทางตา สีสันวัณณะ ก่อนจะปรากฏมีไหม ไม่มี ใช่ไหมคะ ขณะนั้นเป็นภวังคจิต อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏเลย แต่เมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้กระทบจักขุปสาท เป็นอายตนะ เป็นที่ประชุมทำให้สภาพเห็นเกิดขึ้น
คิดดูก็แล้วกัน โลกไม่มีอะไรเลย ขณะนั้นเป็นภวังค์ เวลาเป็นภวังค์ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ความคิดว่าเป็นเราก็ไม่มี ไม่อะไรเลยจริงๆ ขณะนั้นเพราะว่าไม่ใช่อารมณ์ที่รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะฉะนั้นเวลาที่มีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดปรากฏ ต้องมีทาง มีทวาร มีอายตนะ คือ สภาพธรรมที่ประชุมในขณะนั้นชั่วสั้นแสนสั้น ก็ทำให้สภาพเห็นเกิดแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นก็เป็นการที่เราศึกษาธรรม ซึ่งขณะนี้มีจริงอย่างนี้ กำลังเป็นจริงอย่างนี้ ให้ค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริง คือ ศึกษาตัวธรรมแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ ถ้าได้เฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า เวลาที่ทรงแสดงก็สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าอีกนาน ใช่ไหมคะ แต่อีกนานอบรมไป ปัญญาของเราจะคมพอที่จะเข้าใจเวลาที่ได้เฝ้า ได้ฟังหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องอบรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ไปอีกพระองค์หนึ่ง ไปอีกพระองค์หนึ่ง เหมือนผู้ที่ร่าเริงยินดีในสมัยของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะตรัสรู้ ได้ฟังคำพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อีก ๔ อสงไขยแสนกัป ไม่ใช่กัปเดียว ไม่ใช่แสนกัป ๔ อสงไขยแสนกัป จะได้ตรัสรู้เป็นพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า สมณโคดม ชาวเมืองขณะนั้นร่าเริงยินดี ที่ว่าถ้าเขาไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมในสมัยของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็มีโอกาสรู้แจ้งธรรมในสมัยของพระสมณโคดม
เราผ่านมากี่พระองค์คะ เพราะว่าจากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้ามาถึงพระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ ๒๔ พระองค์ เพราะว่าผู้คนในครั้งนั้นก็ได้ฟังธรรม และได้อบรมเจริญปัญญา โดยไม่คำนึงถึงเวลาว่าจะรู้ความจริงเมื่อไร แต่รู้ว่า ความจริงคือสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่น่าเข้าใจถูกต้อง เพราะเหตุว่ามีของจริงที่กำลังปรากฏ แล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเลย แล้วเราจะรู้อะไรคะ คนที่บอกว่ามีปัญญา เขารู้อะไร ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือนักฟิสิกส์ หรือสถาปนิกก็ตาม เขารู้อะไร เป็นความรู้หรือเปล่า ถ้าขณะนั้นไม่สามารถเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนี้ที่กำลังปรากฏ ชั่วเวลาที่สั้นมาก สิ่งที่ปรากฏสั้นมาก ถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึก สิ่งนั้นเกิดแล้ว ดับแล้วหมดไม่เหลือเลย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เผชิญหน้าเราอยู่ตลอดเวลา ก็คือสิ่งที่เกิดแล้วดับตลอดเวลา เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถจะอบรมจนประจักษ์การเกิด และดับ จึงจะค่อยๆ ไถ่ถอนความเป็นเรา เพราะมีอวิชชา ไม่รู้อะไรเลยก็ยึดถือ และอวิชชาของเรานานแสนนาน และมากด้วย ความยึดถือของเราก็นานแสนนาน และมากด้วย
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดถึงว่าชาตินี้หรือชาติไหน ขอให้เป็นผู้ตรงที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยค่อยๆ รู้ รู้ทีเดียว ไม่มีทางค่ะ ทุกอย่างต้องค่อยๆ อบรม ค่อยๆ รู้ เป็นวิริยารัมภกถาหรือเปล่าคะ กถาให้มีความเพียร แต่ไม่ใช่ให้เพียรไปนั่งทำอะไรเพื่อจะรู้ แต่เพียรที่จะอดทน ที่จะอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นแม้แต่วิริยะ หรือวิริยารัมภกถา กถาที่ปรารภหรือเริ่มให้มีความเพียร ก็ต้อง เข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่ใช่ไปทำอะไร ไม่ใช่ให้ไปนั่งตั้งแต่ค่ำจนถึงเช้า ไม่ใช่การค่อยๆ อบรมจนกระทั่งรู้ความจริงของสภาพธรรม
กถานี้จะทำให้ละความต้องการ หรือเปล่าคะ เพราะว่าหนทางจริงๆ ต้องเป็นหนทางละ ถ้าใครสอนให้ทำเพื่อจะได้ เพื่อจะเอา ผิดทันที คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องละเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ทั้งมวล