ธรรมไม่เป็นสอง
ผู้ฟัง จับไมโครโฟนขณะนี้ก็รู้สึกว่ามีแข็งอยู่ตลอด
ท่านอาจารย์
ที่ว่ามีอยู่ตลอด หมายความว่าอย่างไรคะ
ผู้ฟัง หมายความว่าเรามีความรู้สึกว่าจับแข็ง แข็งก็มีตลอด
ท่านอาจารย์ ตลอดเวลาที่จับมีแข็ง ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง แต่ทีนี้ก็ไม่เข้าใจที่ท่านอาจารย์บอกว่า สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก การเข้าใจก็เหมือนกับเร็วมาก อะไรทำนองนั้น มีความเข้าใจว่าเป็นลักษณะของสติ สติเกิดก็เป็นลักษณะที่สั้นนิดเดียว แต่ที่เราหลงลืมสติ ก็เหมือนเราจับแข็ง ขณะที่กระทบก็แข็งตลอด แต่ลักษณะอย่างนั้นก็ยังไม่เข้าใจความต่างของการมีสติกับการหลงลืมสติ
ท่านอาจารย์ เวลานี้เห็นตลอดหรือเปล่า
ผู้ฟัง ดูเหมือนเห็นตลอด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแข็งก็เหมือนตลอด แต่ว่าตามความเป็นจริงถ้าเราฟังโดยละเอียด โดยเข้าใจเรื่องของธรรมไม่ใช่ตัวเราไปคิด แต่เป็นเรื่องของสภาพธรรมแท้ๆ แข็งนี่เกิดหรือเปล่า จึงได้ปรากฏ
นี่แสดงให้เห็นว่า เราต้องเริ่มเข้าใจใหม่ว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งดำรงอยู่ตลอด แต่เกิดดับอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นแม้แต่แข็ง ซึ่งพอกระทบลักษณะแข็งที่ปรากฏ ต้องเข้าใจความจริงว่าแข็งต้องเกิด ซึ่งไม่เคยคิดเลย คิดว่าแข็งมีอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงแข็งขณะนั้นเกิดจึงปรากฏกระทบ แล้วก็ดับ นี่คือผู้ที่ประจักษ์ความจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่ประจักษ์ความจริง ก็ไม่เห็นมีอะไรดับเลยสักอย่างเดียว เห็นก็เห็นตลอด แข็งก็แข็งตลอด ก็เหมือนเดิม เราก็นั่งอยู่ตรงนี้เป็นเราตลอด กี่วันมาแล้ว ต่อไปอีกก็เป็นเราตลอด
เพราะฉะนั้นปัญญาก็ไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่ถ้าจะรู้ความจริงของสภาพธรรม ฟังด้วยความเข้าใจว่า ถ้าแข็งไม่เกิด แข็งปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นชั่วขณะที่กระทบทันที แข็งเกิดจึงได้ปรากฏ สามารถรู้ลักษณะแข็งที่กระทบได้ แค่นี้พอที่จะค่อยๆ เห็นความจริงไหมว่า ความไม่รู้ของเรามากขนาดไหน แม้แต่แข็งเกิดจึงปรากฏก็ไม่รู้ คิดว่ามีแข็งอยู่ตลอดเวลา
ผู้ฟัง อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายคำที่ว่า ฟังจนถึงกระดูกค่ะ
ท่านอาจารย์ คือมั่นคง ไม่คลอนแคลน ไม่หวั่นไหวเลย มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังจริงๆ แล้วค่อยๆ อบรมเพื่อจะรู้ตามจริงๆ ไม่ต่างกันเลย สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงจากการตรัสรู้ เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง ธรรมจะเป็นสองไม่ได้ ถ้าเป็นสอง หมายความว่าความเข้าใจของเรายังไม่พอ เพราะว่าธรรมต้องเป็นธรรมที่สอดคล้องกันตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้
เพราะฉะนั้นที่ฟังมาเข้าใจว่า แข็งต้องเกิด ทั้งๆ ที่เวลานี้ไม่เห็นจะเกิดเลย แต่ความจริงถ้าไม่เกิด ไม่ปรากฏ เมื่อเกิดแล้วดับแล้วด้วย นี่คือความรวดเร็ว และใครก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงการเกิดดับของสภาพธรรมให้ช้าลงได้ แต่สามารถอบรมความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย คือข้อสำคัญ แต่โดยมากคนไม่คำนึงถึงปัญญา คนคำนึงถึงจะปฏิบัติให้ได้ผล เพราะฉะนั้นก็พยายามหาวิธีต่างๆ เช่นบางคนก็คิดเรื่องจักขุวิญญาณ จิตเห็นจะเกิดได้ต่อเมื่อมีปสาทรูป ปสาทรูปมีลักษณะอย่างไร และเกิดจากอะไร พวกนี้เขาคิดว่าขณะนั้นเขาเข้าใจธรรม แต่นั่นเป็นเรื่อง เพราะขณะนั้นคิด ไม่ใช่เขา แต่เขาจะสามารถเข้าใจได้ไหมว่า ขณะนั้นเป็นสภาพคิด เป็นนามธาตุหรือเป็นนามธรรมที่กำลังคิด
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมมีตนเองเป็นที่พึ่ง มีตนเองเป็นเกาะ คือ ความรู้ของเราเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ ถ้าเราเชื่อตามคนอื่น คิดตามคนอื่น โดยไม่ไตร่ตรองเลย ใครบอกก็เชื่อๆ แล้วเราจะเป็นผู้มีเหตุผลไหม และสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง ตรงกับสภาพธรรมไหม
เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งใดถูกต้อง สิ่งนั้นต้องตรงกับสภาพธรรม ตรงทั้งพยัญชนะ และอรรถด้วย
เป็นเรื่องที่ต้องอบรมจากการฟัง เหมือนเขาฟังกันมาแล้ว ท่านพระสารีบุตรฟังมานานเท่าไร ท่านพระอานนท์ฟังมานานเท่าไร แล้วเราก็ไม่รู้ เมื่อไรเราบรรลุ เราอาจจะรู้ก็ได้ว่า เราเคยเกิดมาเป็นใครที่ไหน ฟังมาแล้วนานเท่าไร ถ้าสามารถมีปฏิสัมภิทาอย่างท่านเหล่านั้น หรือมีอภิญญา มีคุณวิเศษ ขึ้นอยู่กับปัญญา เมื่อไรที่ปัญญาถึงความสมบูรณ์ เมื่อนั้นก็จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามลำดับ