วิชาทางโลก-วิชาทางธรรม


    ปัญญาคือความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง ถ้าขณะใดก็ตามถ้าไม่รู้ความจริง ขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเรียนวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น ให้ทราบว่า ความจริงแท้ที่สามารถปรากฏเป็นโลกกว้างใหญ่ทั้งหมด ก็จะปรากฏได้เพียง ๖ ทาง คือ ๑. ทางตา ทำให้เห็น และสามารถจดจำ และคิดนึกถึงสิ่งที่เห็น เป็นวิชาการต่างๆ สารพัดจากการเห็น คนตาบอดจะมีความรู้อย่างคนตาดีมากมายกว้างขวางได้ไหมคะ และนอกจากนั้นก็ยังต้องอาศัยหู เวลาที่ได้ยินก็จะมีการคิดนึกถึงเรื่องราวที่ได้ยิน ปรุงแต่งเป็นวิชาการต่างๆ แต่ไม่รู้ความจริงว่า ขณะนั้นแม้ความคิดเกิดจากอะไร ทำไมบางคนคิดไม่เหมือนกัน แม้ว่าเห็น ก็เห็นอย่างเดียวกัน เช่นในขณะนี้ ได้ยินในขณะนี้ก็ได้ยินเสียงเดียวกัน เรื่องเดียวกัน แต่ต่างคนต่างคิด

    เพราะฉะนั้นถ้าปัญญาจริงๆ คือสามารถมีความเห็นถูกต้องในความเป็นจริงของสภาพธรรมว่า สิ่งต่างๆ แต่ละ ๑ คืออะไร ถ้าจะรู้จริงๆ รู้รวมกันไม่ได้หลายอย่าง แต่การที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ ต้องรู้เพียงทีละ ๑ เช่น ขณะนี้ทางตาไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางหูเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความคิดนึกด้วย เพราะเหตุว่าตาสามารถเป็นปัจจัยให้มีการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ เท่านั้นเอง

    นี่จริงหรือเปล่าคะ ก่อนที่จะมีวิชาการต่างๆ ทั้งสิ้น แหล่งของโลก หรือวิชาการต่างๆ ก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

    เพราะฉะนั้นใจเป็นสภาพที่รู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะตาเห็น ใจก็คิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน เป็นสัตว์ในห้องทดลอง หรือจะเป็นพืชผัก หรือจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดก็ต้องมีแหล่งที่มา

    เพราะฉะนั้นสำหรับโลกของธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า “โลก” ในภาษาบาลี ที่ใช้คำว่า “โล – กะ” หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดแล้วดับ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง แต่สืบต่อจนกระทั่งเหมือนกับไม่ได้ดับไปเลย

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ทุกคนคิดถึงความจริงเพียงว่า มีคนในห้องนี้หลายคน และมีอะไรบ้าง แต่ไม่รู้ความจริงยิ่งกว่านั้นว่า แม้แต่ ๑ คน ก็เป็นแต่เพียงชั่ว ๑ ขณะที่เห็น หรือ ๑ ขณะที่ได้ยิน ๑ ขณะที่คิดนึก แตกย่อยเหตุการณ์ทั้งหมดที่รวมกัน ปะปนกัน ที่ลวงให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่ไม่ได้ดับไปเลย ให้รู้ความจริงของแต่ละอย่างว่า แต่ละ ๑ เปลี่ยนไม่ได้ จะไปซ้ำกันก็ไม่ได้ เช่น ได้ยินขณะที่แล้ว เกิดแล้วดับแล้ว เสียงนั้นก็ดับ ได้ยินก็ดับ เสียงใหม่ เกิดใหม่ ได้ยินใหม่ แล้วก็ดับไป

    นี่คือโลกตามความเป็นจริง ซึ่งไม่เคยหยุดการสืบต่อของการเกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวมเป็นหนึ่ง เหมือนกับว่า มีคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็มีอีกคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็มีอีกคนหนึ่ง แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นเรื่องราวทั้งหมด เหมือนเป็นโลกที่เป็นคน และวิชาการต่างๆ แต่ถ้าตามความเป็นจริงก็คือว่า ต้องรู้ว่าแต่ละหนึ่งว่าคืออะไร

    เพราะฉะนั้นปัญญาในทางพระพุทธศาสนาต่างกับปัญญาของชาวโลก เพราะว่าปัญญาของชาวโลกไม่ได้รู้ความจริงของความคิดเลยว่า มาจากไหน มาจากเห็น มาจากได้ยิน มาจากการฟัง และมาจากการไตร่ตรองเป็นวิชาต่างๆ แม้แต่การปรุงอาหาร หรือการตัดเย็บ หรือการปลูก การไถ การค้า การขาย ทั้งหมดก็มาจากโลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง

    เพราะฉะนั้นอะไรจะเป็นจริงกว่ากันคะ สำหรับผู้ที่เข้าใจว่า มีปัญญามาก แต่ว่าไม่รู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเพียงแต่คิด แล้วแล้วแต่ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไรมา ก็จดจำ ไตร่ตรองเพิ่มเติมการไตร่ตรองจนเป็นวิชาการสาขาต่างๆ แต่ความจริงทั้งหมดไม่เที่ยง และสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่ทำให้เกิดความสุขที่แท้จริงเลย จนกว่าจะมีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกคนหวังสุข เพราะมีความยึดถือว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่า ปัญญาคืออะไร ก็จะทำให้ความรู้ค่อยๆ ละความเห็นแก่ตัว หรือความเข้าใจผิดว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา เพราะฉะนั้นก็จะมีประโยชน์กว่าวิชาการอื่นใดทั้งสิ้น


    หมายเลข 8465
    18 ก.พ. 2567