ถ้าไม่รู้จักอวิชชา ..
ผู้ฟัง ขอถามคุณอรรณพ ก่อนตรัสรู้ อภิญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ถึงได้รู้แจ้งหมด
อ.อรรณพ ณ สถานที่ตรงนี้ในวันที่ตรัสรู้ พระองค์ก็ได้ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปปาท ซึ่งเป็นพุทธวิปัสสนา คือ เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงพระองค์ต้องพิจารณาจึงจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
จริงๆ ผมก็ตั้งใจเรียนถามท่านอาจารย์ สืบต่อเนื่องจากที่พี่โอกล่าว ท่านอาจารย์ครับ ตรงนี้พระองค์ท่านได้พิจารณาปฏิจจสมุปปาทจนได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นระดับเราซึ่งเป็นสาวก หรือผู้ที่น้อมไปเพื่อประพฤติตาม และเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน
ท่านอาจารย์ โดยมากคนก็คิดว่า ปฏิจจสมุปปาทเป็นชื่อ เป็นหัวข้อ เป็นองค์ธรรมแต่ละองค์ ใช่ไหมคะ เช่น อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ขณะนี้เราสามารถรู้ได้ไหมว่า เป็นปัญญาหรือเป็นอวิชชา คือ เราไม่จำเป็นต้องไปเรียงตามลำดับ แต่ความเข้าใจของเราที่เพิ่มขึ้น อย่างไรๆ ก็ต้องไปถึงองค์ของปฏิจจสมุปปาทแน่นอน
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักอวิชชาเลย และเราจะมีปัญญาได้ไหม ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นอวิชชาอยู่ที่ไหน และเมื่อไร เป็นปฏิจจสมุปปาทอยู่ในหนังสือ หรือขณะใดที่เห็น และไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น ก็จะทำให้เข้าใจจริงๆ ว่า เพราะไม่รู้จึงต้องมีการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ โดยนัยที่กลับกัน ใช่ไหมคะ คือ อวิชชาเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดสังสารวัฏฏ์ แต่ปัญญาจะทำให้ละคลายจากสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้นก็เป็นขณะที่เราสามารถเข้าใจตัวอวิชชาได้ ในขณะที่เป็นความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ว่าขณะนั้นก็แล้วแต่ว่าจะเป็นระดับขั้นของการคิดนึกหรือการพิจารณา แม้แต่ในยามที่ตรัสรู้ พอเราพูดถึงว่า ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปปาท สติปัฏฐานอยู่ที่ไหน ไม่ได้พูดสักคำ เพราะฉะนั้นบางคนซึ่งเป็นคนที่เผิน ก็จะคิดว่า เมื่อพิจารณาปฏิจจสมุปปาทแล้วก็ตรัสรู้ได้ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะทรงแสดงหนทางไว้ว่า จะต้องมีอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ ผู้ที่ไม่เคยฟังธรรมมาก่อนเลย ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลยว่า สติปัฏฐาน หรือสติสัมปชัญญะ หรือสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนนี่คืออย่างไร แต่ผู้ที่อบรมพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป พร้อมทั้งบารมีที่จะถึงกาลที่จะตรัสรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏปรากฏกับปัญญาที่สามารถเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้นได้ เพราะจริงๆ แล้วขณะนี้เป็นธรรม แต่ทำไมไม่เข้าใจ เพราะเหตุว่าอวิชชา แล้วทำไมถึงไม่สามารถรู้ได้ถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม เพราะว่านอกจากอวิชชาแล้ว ยังมีโลภะเป็นเครื่องฉาบทาอีก
เพราะฉะนั้นปัญญาจึงไม่สามารถประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมได้ ตราบใดที่ยังมีอวิชชา และยังมีความติดข้อง แต่ถ้าค่อยๆ อบรมบารมี บารมีทุกบารมีก็สามารถค่อยๆ ขจัดความเป็นเรา แม้ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม แต่พระมหากรุณาคุณตั้งแต่เริ่มตั้งปณิธานที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงถึงพระมหากรุณาต่างระดับกับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครก็ตามในขณะนี้ที่ใคร่จะเกื้อกูลช่วยเหลือให้คนอื่นเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม เทียบกับพระมหากรุณาของพระองค์ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าผู้ที่สามารถจะทำได้ ก็คือในยุคนี้ คือ ผู้ที่ได้ศึกษาตามที่ได้ทรงตรัสรู้ และได้ทรงแสดงแล้ว
เพราะฉะนั้นเมื่อยังไม่มีผู้ตรัสรู้เลย และมีที่บำเพ็ญบารมีถึงกาลที่ควรที่ปัญญาระดับนั้น แล้วละคลายความติดข้องที่ได้สะสมมาเป็นบารมีต่างๆ สามารถทำให้ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมได้ สามารถที่จะสละละความเป็นเรา ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม เป็นวิปัสสนาญาณ เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี จนถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นก็เป็นปัญญา และบารมีซึ่งต่างระดับขั้นกันมาก การที่เราได้ฟังธรรมมาแล้วบ้าง ในอดีต จะเป็นกี่ชาติก็ตามแต่ บางกาลเรายังมีการคิดถูก เห็นถูก เช่น มีการตรึกขึ้นมาว่า ที่ใดมีกิเลส ที่นั้นก็มีปัญญาได้ หมายความว่าตัวกิเลสซึ่งเกิดก็สามารถทำให้ปัญญาสามรถรู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูกว่า กิเลสเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นการสะสมของแต่ละคนที่ผ่านมา ก็เป็นเครื่องที่แสดงให้เห็นว่า มีการที่เป็นปัจจัยที่ทำให้มีการตรึกตามแนวของการเข้าใจธรรม และสามารถประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมได้ สำหรับผู้ที่เคยสะสมอบรมมาแล้ว แต่ไม่ใช่อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างระดับกันมาก
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นพระปัญญาคุณซึ่งได้สะสมมาแล้ว ที่ไม่ได้ยินได้ฟังอะไรเลยในชาตินั้น แต่เมื่อสภาพธรรมนั้นปรากฏ ลองคิดดูค่ะ ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม แต่บารมีที่สละความเป็นเรา โดยทานบ้าง โดยศีลบ้าง โดยพระชาติต่างๆ บ้าง ก็ทำให้สละความเป็นตัวตนด้วยปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนั้น เพราะว่าไม่ใช่เพียงแต่รู้ แต่ต้องถึงการละด้วย
ก็เป็นเรื่องที่ต่างกับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาที่แต่ละคนรู้จะน้อยนิดมาก เมื่อเทียบกับพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ