ตัวจริง - ตัวปลอม
ผู้ฟัง การที่แสงไปตกกระทบวัตถุ ช่อดอกไม้กระเช้านี้ และจะสะท้อนเข้าสู่ตา แต่ที่อาจารย์อธิบายหมายถึงว่า จิตนี้เกิดขึ้นขณะที่เราเห็น
ท่านอาจารย์ เพราะว่าระหว่างที่พูดเรื่องแสงมากระทบสะท้อนเข้าไป จิตก็เห็นอยู่ตลอด เร็วกว่านั้นอีก นี่ยังต้องสะท้อนไปสะท้อนมา แต่จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น
ผู้ฟัง เห็นเลยหรือคะ
ท่านอาจารย์ ทันที เพราะฉะนั้นวิทยาการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์สาขาใดก็ตาม เขาเพียงรู้เรื่องราวของสภาพธรรม แต่เขาไม่ได้รู้จักตัวจิต
ผู้ฟัง เขาไม่ได้ศึกษาธรรมโดยตรง
ท่านอาจารย์ เขาไม่ได้ประจักษ์ เพราะว่าเขาไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเขามีทฤษฎีของเรื่องราว เราต้องแยกว่า เวลานี้มีธรรม ๒ อย่าง สัจจะมี ๒ อย่าง สมมติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ
สมมติสัจจะ เราเรียกว่า ดอกไม้ ทุกคนยอมรับ เรียกนี่ว่ากระดาษ ทุกคนยอมรับ นี่เป็นสมมติ แต่ถ้าเป็นปรมัตถ์ นี่แข็ง ไม่ต้องเรียกว่า กระดาษ นี่ก็แข็ง ไม่ต้องเรียกว่า ดอกไม้ ลักษณะที่แข็งจะเป็นช้อน จะเป็นโต๊ะ จะเป็นพัดลม จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ลักษณะแท้ๆ ซึ่งทุกคนพิสูจน์ได้โดยจะเรียกชื่อต่างกันก็ตามแต่ จะคิดต่างกันก็ตามแต่ จะคิดว่าอันนั้นปรุงมาจากเคมี อะไรๆ ก็ตามแต่ คิดเรื่องราวได้ แต่ตัวจริงๆ ก็คือลักษณะแข็ง
เพราะฉะนั้นตัวปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อนักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ตัวจริง นักวิทยาศาสตร์รู้เพียงเรื่องราวสมมติ เรียกอันนี้ว่า ไฮโดรเจน ออกซิเจน โปรตอน อีเล็กตรอน ต่างๆ ที่จะเรียก เพราะเขารู้เพียงในความจำในสิ่งที่เห็น ก็มาบัญญัติว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร หรือวิชาการแพทย์ ถ้ากระทบสัมผัสตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า อ่อนกับแข็ง เย็นกับร้อน ตึงหรือไหวปรากฏแต่วิชาการแพทย์มีหัวใจ มีตับ มีปอด มีม้าม มีโลหิต จากสีสันวัณณะที่เขาทรงจำว่า ลักษณะอย่างนี้ ทำกิจอย่างนี้ มีการเคลื่อนไหวไปทางโน้นทางนี้ จึงเรียกอันนั้นว่าหัวใจ เรียกอันนั้นว่าปอด เรียกอันนั้นว่าสมอง คือเป็นเรื่องราวบัญญัติของสิ่งที่มีจริง แต่ผู้ที่ได้ประจักษ์ความจริงที่เป็นปรมัตถ์ เขาจะรู้จักปรมัตถธรรมที่กำลังเกิดดับ โดยที่บัญญัติยังไม่ได้เกิดขึ้นมาเกี่ยวข้องเลย ไม่ต้องมีบัญญัติใดๆ มาปิดบัง เพราะว่าเขาสามารถประจักษ์ตัวจริงๆ ซึ่งเป็นสภาพธรรม
เหมือนขณะนี้เราคุยกัน นี่ความรู้สึกทั่วๆ ไป กำลังพบกัน คุยกัน แต่จริงๆ จิตเกิดแล้วดับ ทุกคนอยู่ในโลกของตัวเอง แต่ในความคิดว่ามีหลายคน แต่จิตเกิดขึ้นขณะหนึ่ง เห็นเหมือนกันหมดคือ เห็นทำอะไรไม่ได้เลย เห็น เห็นได้อย่างเดียว เห็นแล้วก็ดับ จิตได้ยินเกิดขึ้นทำอย่างอื่นไม่ได้ เพราะจิตได้ยินทำหน้าที่ได้ยินแล้วดับ จะเอาจิตได้ยินไปทำอย่างอื่นไม่ได้เลย
นี่แสดงให้เห็นถึงจิตแต่ละชนิดก็มีหน้าที่แต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมจริงๆ ตัวจริงเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่เคยรู้ว่า จิตกำลังเห็น ดับ แล้วจิตได้ยินเกิด ก็เลยเป็นตัวเราที่กำลังนึกเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นคนนี้กำลังนั่งที่นี่ และกำลังคุยกัน
นี่คือความคิดนึกหลังเห็น ถ้าไม่เห็นสิ่งนี้ จะคิดว่ากำลังนั่งคุยกันไม่ได้ แต่เพราะเห็นจึงมีความคิดว่า นั่งคุยกัน แต่จริงๆ เห็นกำลังเกิดดับ สิ่งที่ปรากฏทางตากำลังเกิดดับ ความคิดกำลังเกิดดับ แต่เมื่อรวมแล้วก็เป็นเรื่องราว
เพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์ไม่รู้ความจริงที่เกิดดับ ก็เอาเรื่องราวที่เขาจำไว้มาเป็นวิชาการต่างๆ