คิดว่าทำแล้วจะเข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดว่า ฟังแล้วให้เข้าใจ หรือปัญญาในขั้นการฟัง ท่านอาจารย์จะช่วยขยายอีกสักนิดได้ไหมครับว่า เข้าใจอะไรครับ
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเวลานี้เข้าใจนิดหนึ่ง แต่ก็จะทำแล้ว แทนที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเข้าใจแล้ว เข้าใจนิดเดียวก็จะไปทำแล้ว คิดว่าทำแล้วจะเข้าใจมาก
ผู้ฟัง ความเข้าใจนี้หมายถึงความเข้าใจอะไรครับ
ท่านอาจารย์ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา ซึ่งไม่ใช่ตัวผมเอง ทั้งๆ ที่ผมจะทำอย่างนั้น จะใช้ปัญญาอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ก็เป็นตัวคุณประทีปที่ผมจะทำ
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ไม่มุ่งหวังที่จะประจักษ์อะไรทั้งหมด แต่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ฟัง ก็ต้องฟังให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ถ้าหากไม่มีจิต เจตสิก รูปแล้วก็จะไม่มีอะไรเลย นายประทีปก็ไม่มี โต๊ะ เก้าอี้ก็ไม่มี ฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นสภาพธรรม ตั้งแต่เกิดขึ้นมา ปฏิสนธินิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ถ้าคุณประทีปเข้าใจจริงๆ ว่า ขณะฟังก็มีสติขั้นหนึ่ง แต่สติขั้นนี้ดับกิเลสไม่ได้ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ไม่ต้องเรียกชื่อก็มีจริงๆ อย่างแข็ง มีจริงๆ ไม่ต้องเรียกชื่อ ขณะใดที่กำลังรู้แข็ง เริ่มรู้ความเป็นอนัตตาว่า สิ่งนี้เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ทางตาที่กำลังเห็น ค่อยๆ แยกธรรมออก เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ จากการตรัสรู้ เพราะเหตุว่าถ้ายังรวมกัน ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเรากำลังมีสติ เป็นเรากำลังมีปัญญา เมื่อรวมกัน แต่โดยการตรัสรู้ว่า สภาพธรรมที่เราเคยรวมกันเป็นเรา แท้ที่จริงแล้วเป็นธรรมแต่ละอย่างจริงๆ ไม่ปนกันเลย จิตก็ไม่ใช่เจตสิก สติก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นจะรู้ตามความเป็นจริงว่า สติมีลักษณะที่ระลึกอย่างที่เราเรียน เราเรียนว่า สติเป็นสภาพที่ระลึกได้ ถ้าเป็นสติที่เป็นไปในทาน ก็ระลึกเรื่องทาน สติที่เป็นไปในกุศลอื่น ก็เป็นสติที่ระลึกเป็นไปในเรื่องนั้น
เพราะฉะนั้นสติที่ระลึกที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นสติที่ระลึกตรงลักษณะที่มีจริงๆ ซึ่งเราไม่เคยระลึก
เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่า นี่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา คือ ความเป็นอนัตตาต้องทั้งหมด ไม่ใช่ว่าพอเป็นอนัตตาแล้วมาเราปฏิบัติ อย่างนั้นหมายความว่า ยังไม่ได้เข้าใจลึกจริงๆ ของอรรถของคำว่า อนัตตา เพราะยังเป็นเราปฏิบัติอยู่