ทำไมถึงต้องเป็นเรา
พระคุณเจ้า อันนี้พอเรารู้ตรงนี้ เพราะว่าไม่มีตัวตน เป็นสภาวธรรมชาติที่เกิดขึ้น และสัมพันธ์ กัน สักแต่ว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่งๆ เกิดดับๆ ในตัวของมันเองอย่างนี้ต่างหาก รู้ตรงนี้ใช่หรือ เปล่า จึงทำให้พ้นจากเงื่อนไขแรงดึงดูดของสมมติโลกนี้
ท่านอาจารย์ แต่ต้องรู้จริง คือ ประจักษ์แจ้งเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพียงฟังเรื่องราว นี่คือความรู้ต่างขั้น ความรู้ขั้นฟังดับกิเลสไม่ได้ วันนี้ทั้งวัน กลับไปบ้าน กิเลสก็ยังไม่ได้ลดทั้งๆ ที่ได้ฟังธรรม แล้ว ต้องถึงปัญญาระดับขั้นอื่นที่สูงกว่านี้ ประจักษ์แจ้งมากกว่านี้ แต่ข้อสำคัญอันหนึ่งที่เราจะยึดเป็นหลักที่ถูกต้องได้ คือ พระพุทธศาสนาเป็นคำ สอนที่ทำให้เกิดปัญญา แล้วละ หน้าที่ของปัญญาคือละ มีใครคิดว่า เราสมควรจะละ อะไรบ้างไหมคะ หรือว่าถ้าละแล้วก็เลยไม่มี แต่ความจริงสิ่งที่จะละก็คือสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่ ให้ละสิ่งที่ดี เพราะเหตุว่าอะไรบ้างที่ไม่ดี โลภะ ความโลภ ถ้ามีนิดหน่อย ก็ดูไม่น่า รังเกียจ แต่ถ้าใครโลภมากๆ มีทุจริตเกิดขึ้น เราจะเห็นได้เลยว่า เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ ถ้าโลภเล็กๆ ไม่เคยเกิดเลย ไม่เคยมีเลย โลภใหญ่ๆ ก็ไม่มี เพราะว่าทุกอย่างต้องเกิด จากสิ่งที่น้อยมาก และค่อยๆ สะสมจนปรากฏให้เห็นชัด
เพราะฉะนั้นโลภะซึ่งมี บางทีเราคิดว่า เราไม่มีโลภะ หลายคนที่ยังไม่ได้ฟังพระ ธรรม เขาบอกว่า เขาไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ วันหนึ่งไม่มีจริงๆ ไม่ใช่ไปอยากได้ของใคร ไม่ใช่อยากจะไปเบียดเบียนริษยาใคร เหมือนกับว่า เขาไม่มีอกุศลเลย แต่ที่คิดว่าไม่มีนั้น ความจริงมีเกือบตลอดวัน ถ้าขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นต้องเป็นอกุศลจิต นี่อย่างหยาบๆ เพราะจริงๆ แล้วต้องมีวิบากจิต มีกิริยาจิต ถ้าเราเรียนละเอียด แต่ เราจะไม่ไปถึงความละเอียดขั้นนั้น เราจะพูดถึงเพียง ๒ อย่าง คือ กุศลจิตกับอกุศลจิต จิตที่ดีกับจิตที่ไม่ดี และเราก็อาจจะผ่านไปถึงจิตอีกประเภทหนึ่ง คือ จิตที่เป็นผล เพราะ ว่าเมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี
เพราะฉะนั้นเมื่อมีกุศลจิต ก็ต้องเป็นเหตุให้เกิดผลของกุศล ซึ่งก็ต้องเป็นจิต แต่เป็นจิตประเภทวิบากซึ่งเป็นผล เพราะฉะนั้นวิบากในภาษาบาลี หมายความถึงสภาพธรรมที่สุกงอมที่จะเกิดขึ้น เป็นผล เราทำกรรมไว้เยอะมาก แต่ว่าขณะใดกรรมนั้นยังไม่ให้ผล แปลว่ากรรมนั้นยังไม่ สุกงอม ยังไม่ถึงกาลที่จะเกิดขึ้นเป็นผล อย่างวันนี้เรายังไม่เจ็บไข้ แข็งแรงดี แต่พอมี ความทุกข์กายเกิดขึ้น กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว ๑ กรรม ถึงความสุกงอมที่จะทำให้เกิดผล คือ ความรู้สึกเจ็บปวดทางกายเกิดขึ้น ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรารู้เรื่องจิตมากขึ้น เราจะเข้าใจสภาพที่เป็นเหตุ สภาพ ที่เป็นผล และเราสามารถรู้ว่า ผลดีที่คนหนึ่งๆ ได้รับ ต้องมาจากกรรมดีที่เขาได้ทำแล้ว และผลที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับเราหรือกับใคร ไม่ใช่คนอื่นทำให้ค่ะ เราทำเอง เพราะฉะนั้นจะไม่มีคำถามว่า “ทำไมต้องเป็นเรา” เพราะคำตอบก็คือ เพราะ ต้องเป็นเรา ในเมื่อทำกรรมไว้แล้ว อย่างไรก็ต้องเป็นเราที่จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น เราจะให้คนอื่นมารับผลของกรรมที่เราทำไว้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่า เราจะไม่โกรธแค้นคนอื่น ไม่คิดว่าเป็นเขาที่ทำให้ เราต้องเสียใจ ต้องเป็นทุกข์ เพราะว่าถ้าไม่มีกรรมของเราแล้ว อย่างไรๆ คนอื่นก็ไม่ สามารถมาทำให้เราเกิดทุกข์เดือดร้อนได้ เราก็จะมีความเบาสบายขึ้น เพราะว่าเข้าใจ เหตุกับผลเพิ่มขึ้น