ทุกอย่างผิด เมื่อมีความเห็นผิด


    พระคุณเจ้า แล้วปฏิบัติอย่างไร ฌานถึงจะเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นสมถะ หรือวิปัสสนา คือ การอบรมเจริญปัญญา ต้องมีสติสัมปชัญญะ และปัญญา ถ้าขาดปัญญาแล้วทำอะไรไม่ได้ ผิดหมด ถ้าทำสมาธิ ก็เป็นมิจฉาสมาธิ แม้แต่มรรคมีองค์ ๘ ก็เป็นมิจฉามรรคมีองค์ ๘

    เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญญา เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่ทุกอย่างเป็นเรื่องถูก เพราะปัญญาเห็นถูก เข้าใจถูก ทุกอย่างผิดเมื่อมีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิด และจะสังเกตได้ว่า เราหนีโลภะยากเหลือเกิน หลบหลีกไปทางไหนๆ ก็ไม่พ้น ถ้าไม่มีปัญญา อย่างทุกคนเราอยู่บ้านเราก็ติด ทางตาเราก็ขวนขวายหาสิ่งที่สวยๆ งามๆ ทางหู มีเพลงเพราะๆ ทางจมูก ก็กลิ่นหอม ทางอาหารก็ปรุงแต่งอย่างประณีต ทางกาย ที่นอน เครื่องใช้ทุกอย่างก็ต้องเป็นความสะดวกของกาย

    นี่คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งภาษาธรรมใช้คำว่า โผฏฐัพพะ มีใครบ้างที่ไม่ต้องการ ไม่มี มีใครบ้างที่ไม่ติด ก็ไม่มีอีกนะคะ

    เพราะฉะนั้นเวลาที่จะหันมาธรรม โลภะก็ตามมาอีก ผลอยู่ที่ไหน ทำอย่างไร นี่คือโลภะทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องเห็นตัวนี้ คือ ตัวโลภะ แล้วถึงจะละโลภะได้ แต่ถ้าไม่เห็นโลภะ ก็ตามโลภะไปหมด ไม่ว่าจะไปที่ไหน โลภะสามารถที่จะติดข้องแม้ในกุศล ทำกุศลเสร็จ ผลเท่าไร ทำอย่างนี้ได้ผลมากไหม และได้ผลอย่างไรบ้าง คือมุ่งหน้าแต่จะต้องการผล ไม่ได้มุ่งหน้าที่จะรู้ว่า กำลังติดในผล ทำอย่างไรถึงจะละความติดข้องเหล่านี้ได้ ซึ่งเรื่องละต้องเป็นปัญญาอย่างเดียว ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว อย่าไปคิดว่า จะไปละกิเลสได้ โดยวิธีทำอย่างไรก็ตามแต่ จะทำอย่างนี้อย่างนั้น ๑๐ วัน ๒๐ วันก็ละโลภะไม่ได้ เพราะทำไปด้วยโลภะ ทำไปด้วยความต้องการ

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ทางที่จะละมีทางเดียว คือ ปัญญา และต้องรู้ด้วยว่า ปัญญา คือ ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ เราไปทำอย่างอื่น แล้วจะเข้าใจเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร เราเกิดโลภะเดี๋ยวนี้ เราเกิดโทสะเดี๋ยวนี้ เราสุขกับสิ่งที่พบ ที่ได้ยินทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะละกิเลสเหล่านี้ได้อย่างไร เทียบดูนะคะ พระอรหันต์ท่านก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย เหมือนเราทุกอย่าง แต่ท่านไม่มีกิเลส เมื่อไรคะ เห็นแล้วกิเลสไม่เกิด

    เพราะฉะนั้นความต่างกัน คือ ผู้ไม่มีปัญญา เห็นแล้วอกุศลจิตเกิด เพราะฉะนั้นก่อนจะถึงพระอรหันต์ที่ดับกิเลส ต้องเห็นแล้วปัญญาเกิด ได้ยินแล้วปัญญาเกิด ทีละเล็กทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึงปัญญาระดับที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ แล้วรู้แจ้งอริยสัจธรรม ประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน ดับกิเลสตามลำดับขั้น

    เพราะฉะนั้นปัญญาอยู่ตรงนี้ ตรงเห็นแล้วก็ไม่เคยมีปัญญาเลย เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นแล้วฟัง แล้วเข้าใจ จนถึงกาลที่สติจะระลึกแล้วก็รู้ความจริงของเห็นตามที่ได้ฟังอย่างแม่นยำ ไม่หลงลืมว่า เป็นธรรม มีลักษณะอย่างนั้นๆ เพราะฉะนั้นปัญญาเกิดเมื่อเห็น เมื่อได้ยิน เมื่อได้กลิ่น เมื่อลิ้มรส ไม่ใช่ไปนั่งทำ ถ้านั่งทำแล้วจะรู้อะไรทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูกตั้งแต่ต้นทีเดียวว่า ปัญญารู้อะไร รู้เมื่อไร ถ้าเป็นผู้ที่ไปนั่งทำ จะตอบไม่ได้เลยว่า ปัญญารู้ขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ ขณะที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ เพราะชีวิตของเราในวันหนึ่งก็มีเท่านี้เอง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เท่านี้ แล้วปัญญาจะไปรู้อย่างอื่นได้อย่างไร ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ก็ต้องรู้อย่างนี้ เหมือนพระอรหันต์ที่พอเห็นแล้วรู้ ก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ พอเห็นแล้วก็ต้องรู้ จนกว่ากิเลสจะดับ จนกระทั่งถึงเมื่อเห็นแล้ว ปัญญาก็เกิดสามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องเอา เป็นเรื่องได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องทำ แต่เป็นเรื่องเข้าใจถูก ซึ่งจะใช้คำว่า ปัญญา ก็ได้ คือ ขณะนี้เองที่ฟัง กำลังอบรมเจริญวิปัสสนาได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการฟังขั้นต้นอย่างนี้ให้เข้าใจ วิปัสสนาก็เกิดไม่ได้ แต่เป็นจิรกาลภาวนา เพราะฉะนั้นก็คงไม่ต้องรีบร้อน เพราะว่ารีบร้อนก็ไปไหนไม่ได้ วนอยู่ในอ่าง

    เพราะฉะนั้นที่ฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าไม่รู้จึงต้องเรียน จุดเด่นของพระพุทธศาสนา คือ พูดถึงเรื่องสัจธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และยังแสดงลักษณะจริงๆ ของธรรมนั้นตามความเป็นจริงด้วย ไม่ใช่พูดเรื่องสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่ใช่พูดเรื่องที่ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นมาเพราะคนโน้นคนนี้ หรือเกิดขึ้นมาลอยๆ แต่ทุกอย่างที่เกิดมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด ที่เราใช้คำที่เราได้ยินบ่อยๆ ปฏิจจสมุปปาท คือ ธรรมซึ่งอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่า ไม่มีอะไรสักอย่างซึ่งเกิดโดยไม่มีเหตุที่ทำให้เกิด ไม่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดไม่ได้ ต้องมีค่ะ

    นี่คือจุดเด่น จุดเด่น คือ สัจธรรม จริงทุกคำ โลภะเกิด ดับไหม ถ้าไม่มีเหตุให้โลภะเกิด โลภะจะเกิดไหม โทสะเกิดแล้วดับไหม ถ้าไม่มีเหตุให้โทสะเกิด โทสะจะเกิดไหม ปัญญาเกิดแล้วดับไหม ถ้าไม่มีเหตุให้ปัญญาเกิด ปัญญาจะเกิดได้ไหม


    หมายเลข 8512
    23 ส.ค. 2567