กิเลสท่วมใจยิ่งกว่าภัยน้ำท่วม
ข่าวประจำวันขณะนี้ คือ น้ำท่วม เป็นภัยใหญ่ไหมคะ เพิ่มขึ้นๆ เดี๋ยวไหลไปทางโน้น เดี๋ยวไหลมาทางนี้ ผู้คนก็เดือดร้อนเพราะน้ำท่วม แต่ว่าน้ำคือกิเลสท่วมอยู่ทุกขณะ ภัยอยู่ไหน ภัยภายนอกยังลด ใช่ไหมคะ ท่วมแล้วก็ลด แต่ภัยที่เป็นกิเลสที่ท่วมอยู่ พอเห็นก็กิเลสท่วมอีกแล้ว โอฆะ ได้ยิน กิเลสเกิดท่วมอีกแล้ว เพราะฉะนั้นอยู่ท่ามกลางน้ำท่วมของกิเลส โดยที่ไม่รู้เลย
เพราะฉะนั้นการที่จะฟังธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมจริงๆ ไม่มีทางที่จะลดคลายความทุกข์ได้ เพราะเหตุว่าเข้าใจว่า ทุกข์เกิดเพราะน้ำท่วม แต่กำลังเป็นข่าวน้ำท่วม ขณะนั้นจิตที่คิดเป็นอะไร ท่วมแล้วด้วยกิเลส
เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราไม่มีความเข้าใจธรรมจริงๆ แล้วเราก็คิดแต่เพียงเรื่องที่จะดับกิเลส หรือจะไปทำอะไรที่จะละคลายกิเลส โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และไม่เห็นความละเอียดของธรรม ไม่มีทางที่จะดับได้เลย
เพราะฉะนั้นก็ให้ทราบว่า เวลาคิดเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เพราะว่าจะมีสิ่งที่จะต้องเป็นข่าวจากตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วใจก็คิด ที่โต๊ะอาหารมีข่าวไหมคะ ที่ห้องครัวมีข่าวไหมคะ ตื่นขึ้นมาก็มีข่าวทั้งนั้นเลย เพราะคิดถึงแต่เรื่องราวของสิ่งต่างๆ และเราก็ไปคิดเพียงบางข่าว แต่ความจริงทุกครั้งที่พูดถึงอะไร ด้วยความคิดถึงสิ่งนั้นอย่างนั้นๆ ก็เป็นข่าวในขณะนั้น แต่จิตที่คิดเป็นกุศล และอกุศล ที่สำคัญที่สุด และเป็นประโยชน์ที่สุด คือ รู้ว่าเกิดมาแล้วก็คิด แล้วก็จากโลกนี้ไป แต่เรื่องที่คิดไม่ได้ตามไปได้เลย แต่อกุศลที่คิด หรือกุศลที่คิดจะติดตามไป
เพราะฉะนั้นวิตกเป็นสภาพที่ตรึกหรือคิด และความคิดก็ต้องมีทั้งที่เป็นกุศลหรืออกุศล แล้วเราสามารถรู้ได้ไหมว่า วันนี้เป็นอกุศลที่คิดเท่าไร แต่ขณะนี้ที่กำลังฟังธรรม เปลี่ยนเรื่องแล้วใช่ไหมคะ เปลี่ยนคิดแล้วใช่ไหมคะ แทนที่จะคิดเรื่องอื่น เรื่องน้ำท่วม คนเดือดร้อน ก็มาคิดถึงกิเลสท่วมจนใจเดือดร้อน ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็จะเป็นผู้ไม่ประมาท ฟังธรรมด้วยความละเอียดจริงๆ เพื่อเข้าใจขึ้นๆ บางคนก็บอกว่า เขาเกิดคิดได้ว่า ขณะนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็คิดเรื่องราวต่างๆ รู้ไหมคะว่า ขณะนั้นพระธรรมเริ่มเข้าไปในจิตอย่างละเอียดเลย อย่างที่ไม่รู้ว่า แม้ขณะที่คิดถูกอย่างนั้น ถ้าเพิ่มกำลังขึ้น มีมากขึ้น ก็สามารถทำให้เข้าใจธรรมทุกขณะที่ปรากฏได้ อย่างเวลาได้ฟังข่าวน้ำท่วม ขณะนั้นคิดอย่างไร เห็นไหมคะ น้ำท่วมที่จังหวัดนั้นตั้งเยอะ ไหลไปทางนั้น ไหลมาทางนี้ แต่จิตที่คิดเป็นอย่างไร ไม่รู้ แต่ถามถึงวิตกเจตสิก และถามถึงสภาพคิด
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า คิดอยู่แล้ว และคิดตลอดเวลา และคิดทุกวัน เว้นหลับ แล้วความคิดไม่ได้ติดตามไปโลกไหนเลย อยู่ในโลกนี้ทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องคิดของโลกนี้ แต่ถ้าเกิดอีก ก็เป็นโลกอื่น แล้วก็คิดเรื่องอื่น เหมือนจากโลกก่อนมา คิดแต่เรื่องของโลกก่อน ไม่รู้เลยว่า โลกที่จะมาสู่ คือ โลกนี้เป็นอย่างไร และแต่ละวันที่มีชีวิตในโลกนี้ซึ่งขณะนั้นอยู่ในโลกก่อน ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า โลกนี้จะเป็นอย่างนี้ มีอะไรเกิดขึ้น มีน้ำท่วม มีคนพบปะกัน สนทนากัน ก็ไม่รู้เลยทั้งสิ้น เพราะว่ายังไม่เกิดขึ้น ฉันใด โลกหน้า คือ ความคิดในโลกหน้าก็จะเปลี่ยนจากความคิดในโลกนี้ แต่ว่าจะคิดด้วยกุศลจิตหรือด้วยอกุศลจิต ก็จะเป็นสิ่งที่สะสมสืบต่อไป
ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงเป็นเรื่องที่ละเอียด และเป็นเรื่องที่เข้าใจจริงๆ ว่า ทุกอย่างที่เกิดเป็นชั่วคราว สั้นมาก ไม่ต้องคอยถึงชาติหน้า ก็หมดไปแล้ว และไม่กลับเองด้วย