เหตุต่างกันผลจึงต่างกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างมีเพียงชั่วคราวจริงๆ เห็นก็ชั่วคราว คิดก็ชั่วคราว สุขก็ชั่วคราว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อยแต่รวดเร็ว สืบต่อจนกระทั่งเหมือนกับมั่นคง และยังคงมีอยู่ แต่จากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นวัฏฏะ หมุนเร็วเหมือนลูกข่างที่หยุดนิ่ง ทำให้เหมือนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกิดดับเลย และลองคิดดูว่า คิดว่าเป็นอย่างนี้มานานแสนนาน กว่าจะรู้ความจริงว่า แต่ละขณะก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ แล้ว ๑ ขณะนี้จะเทียบอย่างไรคะ ไม่มีทางจะรู้ได้เลย เช่น ขณะนี้เห็นเหมือนหลายขณะ เป็นเห็นอยู่ตลอดเวลา และมีได้ยิน ก็แสดงให้เห็นว่า ได้ยินกับเห็นต่างขณะ แต่ในระหว่างได้ยินกับเห็นที่ต่างขณะ ก็ยังมีจิตเกิดดับหลายขณะด้วย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่รู้มีมาก แต่ฟังเพื่อเห็นความเป็นธรรมว่า นี่เป็นธรรมที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงของธรรมได้เลย ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งเข้าใจว่า เป็นธรรม แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร แล้วเมื่อรู้ว่าเป็นธรรม ก็เข้าใจถึงธรรมที่ต่างเป็นดี และชั่ว เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมที่ดี และชั่ว ซึ่งเป็นเหตุก็ต้องนำมาซึ่งผล ซึ่งแต่ละคนก็จะเห็นผลของอกุศลกรรมมากมาย อย่างเมื่อวันก่อนก็กล่าวถึงการเกิด เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน มองเห็นอยู่ รูปร่างลักษณะหลากหลายมากมายเหลือเกิน แม้แต่สิ่งที่ดูคล้ายคลึงกันในที่แห่งหนึ่ง แต่ในที่อีกแห่งหนึ่งก็ต่างกันไป ใครทำได้ ถ้าไม่ใช่เหตุ ต้องเป็นเหตุที่จะกระทำให้สิ่งนั้นๆ ต่างกัน อย่างเราเห็นงู ในเขตนี้กับเขตโน้นก็ต่างกัน แม้กำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ผีเสื้อก็มีปีก แต่ปีกของผีเสื้อแต่ละตัว แต่ละชนิดก็ต่างกันไป แม้เป็นคน มีตา ๒ ข้าง มีหู มีจมูก มีหน้า ก็ยังต่างกันไป จนจำได้ว่าใครเป็นใคร ทั้งๆ ที่ก็ดูน่าจะจำยาก อย่างวัวควาย ใครจำได้คะ ยากกว่าใช่ไหมคะ
นี่แสดงให้เห็นว่า ความหลากหลายของเหตุก็ทำให้เกิดความหลากหลายของผล และความหลากหลายนั้นถ้าเป็นดี และชั่ว ก็ยังต่างกันไป
เพราะฉะนั้นถ้ามีความมั่นคงในเรื่องเหตุที่ดี ก็จะเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งไม่ทำชั่ว