ชีวิตคืออะไร


    สนทนาธรรมกับเด็ก


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้รู้ความต่างของสิ่งที่ไม่มีชีวิตกับสิ่งที่ไม่ชีวิต แต่ต้องถามว่า ชีวิตคืออะไร พอที่จะตอบได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ชีวิตก็คือต้องมาใช้กรรมหรือเปล่าคะ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องพูดถึงกรรมเลย ชีวิตคืออะไร เทียบคนตายกับคนเป็น แล้วจะค่อยๆ เข้าใจชีวิต คนตายมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่มีชีวิต คนเป็นมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ต่างกันอย่างไรคะ คนเป็นกับคนตาย ตรงไหนที่ต่างกัน เขาก็มีผม แล้วก็มีหู แล้วก็มีขา แล้วต่างกันอย่างไรคะ คนเป็นกับคนตายต่างกันอย่างไร

    ผู้ฟัง คนเป็นมีจิตค่ะ คนตายไม่มีจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่เราใช้คำว่า ชีวิต ต้องหมายความถึงสภาพที่สามารถที่จะรู้ หรือรู้สึก หรือคิด นี่คือสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นสิ่งนี้มีจริง อย่างคนตายมีตาแต่ไม่เห็น มีหู จริงๆ แล้วก็เป็นแต่เพียงรูปร่างของหู แต่ตัวจักขุปสาทไม่มี เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ได้ยิน

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีชีวิต อย่างเราที่กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ เพราะเหตุว่ามีสภาพที่สามารถจะรู้ จะเห็น จะคิด จะนึก มีจริงๆ ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้นถ้าเราจะพูดถึงธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง เอาตัวเราออกหมดเลย พูดถึงแต่สิ่งที่มีจริง คือ ธรรม จะมีธรรม ๒ อย่าง ที่ต่างกันใหญ่ๆ อย่างหนึ่งก็เป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่ว่ามีจริงๆ อย่างแข็ง มีจริงๆ หรือเปล่าคะ แข็งมีจริง ถ้ามีจริงก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง กลิ่นมีจริงไหมคะ แต่กลิ่นไม่มีชีวิต แข็งก็ไม่มีชีวิต ไม่สามารถจะรู้ ไม่สามารถจะคิดได้

    เพราะฉะนั้นถ้าแยกธรรมเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ส่วนที่มีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ภาษาธรรมใช้คำว่า “รูปธรรม” คือ ทุกอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว แต่เราเติม “รู –ปะ” หรือ “รูป” เข้าไป หมายความถึงสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย

    การศึกษาธรรมเวลานี้ เหมือนกับเรากำลังศึกษา เพราะว่าเป็นสิ่งที่จะทำเราค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่เราได้ฟัง การที่เราเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่เราได้ฟัง คือ การศึกษาชนิดหนึ่ง จะโดยฟัง โดยอ่าน โดยคิด โดยอะไรก็ได้ แต่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง

    เพราะฉะนั้นเราอาจจะเคยคิดเรื่องราวของชีวิต เรื่องโลก เรื่องอะไรมาแล้วก็ตาม ขณะนี้ไม่ต้องเอามาเกี่ยวข้องเลย เพราะว่าเป็นความรู้ใหม่อีกเรื่องหนึ่ง อีกศาสตร์หนึ่ง ซึ่งจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดตามการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ไม่มีใครสักคนที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แสดงว่าความรู้ของเขายังไม่สิ้นสุด แต่เวลาที่ใช้คำว่า “ตรัสรู้” หมายความว่าทรงสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมทุกอย่าง ไม่เว้นเลยตามความเป็นจริงของสภาพนั้นๆ จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้อีก ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์อื่นๆ แพทย์ หรืออะไรก็แล้วแต่ อาจจะใช้คำที่ต่างกัน แต่ความรู้ของบรรดาหมอทั้งหลาย นักจิตวิทยาทั้งหลาย หรือนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยังไม่สิ้นสุด เพราะเหตุว่ายังไม่ใช่การตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่า “ตรัสรู้”

    เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรม มีคนอื่นตรัสรู้ตามไหมคะ ลองคิดดูค่ะ มีคนอื่นตรัสรู้ตามไหมคะ ไม่มีหรือคะ ถ้าอย่างนั้นคำสอนก็เป็นโมฆะ

    ผู้ฟัง แปลว่าคิดได้ด้วยตัวเองหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ ตรัสรู้ไม่ใช่ขั้นคิดค่ะ ทุกคนคิดอะไรก็ได้ คนนั้นคิดอย่าง คนโน้นคิดอย่าง นักวิทยาศาสตร์ก็คิดอะไรขึ้นมาใหม่ๆ เสมอ ทฤษฎีก็เปลี่ยนไป อันเก่าเป็นอย่างนี้ อันใหม่ก็เปลี่ยนไปอีกก็ได้ แต่การตรัสรู้เพราะประจักษ์ ใช้คำว่า “ประจักษ์แจ้ง” คือ เห็นชัดด้วยปัญญาตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ ซึ่งละเอียดมาก ซึ่งไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้อีกได้เลย จึงใช้คำว่า “ตรัสรู้”

    เพราะฉะนั้นเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ให้คนอื่นเกิดความเข้าใจ อบรมเจริญปัญญาถึงระดับที่จะรู้แจ้งอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อใช้คำว่า “รู้แจ้งอย่างนั้น” ก็คือตรัสรู้ ซึ่งอีกคำหนึ่งใช้คำว่า “อภิสมัย” “สมัย” แปลว่า กาลเวลา “อภิ” แปลว่า ยิ่งใหญ่ ใหญ่ที่สุดของภพชาติ ไม่มีการใหญ่เท่ากับการรู้ความจริงของสภาพธรรมอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ก่อน แล้วก็ได้ทรงแสดงพระธรรม

    เพราะฉะนั้นสาวก พระอริยสงฆ์ หรือที่เราใช้คำว่า “พระรัตนตรัย” พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้หมายความถึงพระภิกษุที่บวช แต่หมายความถึงผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนสามารถที่จะรู้ความจริงโดยการตรัสรู้อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ก่อน และได้ทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นอภิสมัย ยิ่งใหญ่มาก คือ การรู้แจ้งสภาพธรรม ที่เราใช้คำว่า “อริยสัจ ๔” ทำให้คนนั้นพ้นจากสภาพความเป็นคนธรรมดา ที่เราใช้คำว่า “ปุถุชน” คงได้ยินบ่อยๆ ที่เขาบอกว่า ฉันเป็นปุถุชนคนธรรมดา ก็ต้องต่างกับผู้ที่เป็นอริยะ “อริยะ” คือ ผู้ที่เจริญ แต่เจริญที่นี่ เจริญด้วยปัญญา เจริญด้วยความรู้ เจริญด้วยความดี ไม่ใช่เจริญทางด้านวัตถุ

    ที่เราใช้คำว่า “อารยธรรม” หมายถึงทางด้านวัตถุ แต่ถ้าเป็นอริยบุคคล คนนั้นได้อบรมจิตใจจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งความจริง บรรลุความดี ที่จะสามารถมีปัญญาประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ จึงมีทั้งพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ พระสังฆรัตนะ ก็คือพระอริยบุคคล ถ้ามีแต่พระพุทธรัตนะ ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ตามได้ คำสอนก็เป็นโมฆะ ไม่ได้ช่วยใครให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเลย แต่เพราะเหตุว่าเมื่อตรัสรู้แล้วทรงประกอบด้วยพระญาณมากมายมหาศาล สามารถที่จะรู้ว่า คนที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด อดีตชาติก่อนๆ นานแสนนานเป็นอะไร เพราะฉะนั้นปัญญาระดับของชาวโลกทั้งหมด อย่าเปรียบกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่ได้อบรมเหตุที่จะให้สมบูรณ์ถึงระดับนั้น ที่สามารถรู้ทุกอย่าง ทั้งอดีต และปัจจุบัน และถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยที่จะให้กระแสของโลกเป็นอย่างไร ของแต่ละบุคคลเป็นอย่างไร ก็สามารถจะตรัสรู้ได้

    นี่คือถ้ายิ่งศึกษาก็จะเห็นว่าเป็นความจริง แต่เราก็ต้องเริ่มจากการที่เราจะต้องค่อยๆ เข้าใจว่า ธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่จากการคิดค้น แต่จากการตรัสรู้ หมายความว่าประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริง


    หมายเลข 8560
    23 ส.ค. 2567