รู้จักรูปธรรม
สนทนาธรรมกับเด็ก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจความหมายของธรรมแล้วนะคะ ธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แล้วผู้ที่ตรัสรู้ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทรงแสดงธรรมเพื่อจะให้คนอื่นเข้าใจธรรมตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ด้วย คือ ทรงตรัสรู้ว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย พระจันทร์มีใครเป็นเจ้าของหรือเปล่าคะ พระอาทิตย์ ดิน โลก น้ำ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แม้แต่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดก็เป็นธรรม ซึ่งต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างแรกที่เรากล่าวถึง คือ พูดถึงธรรมว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมก่อนว่า สิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทางธรรมใช้คำว่าอะไร ทวนอีกครั้งหนึ่งค่ะ
พูดมาตั้งนาน จำได้ไหมคะ
ผู้ฟัง รูปธรรม
ท่านอาจารย์ รูปธรรม สมัยนี้คงได้ยินวิทยุกับโทรทัศน์เขาใช้คำนี้บ่อยๆ รูปธรรม แต่ภาษาไทยที่ใช้ หรือคำที่ชาวโลกใช้ เอาไปไว้ส่วนหนึ่ง ความหมายไม่เหมือนคำที่ใช้ในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่าภาษาไทยเราใกล้ชิดกับภาษาบาลี เพราะฉะนั้นก็ใช้คำภาษาบาลีโดยที่เราไม่ได้เข้าใจความหมายนั้นจริงๆ แต่ขอยืมมาใช้ผิดๆ ถูกๆ ตามความความคิดของเรา
เพราะฉะนั้นตอนนี้เราเอาผิดออกไป ให้เหลือแต่ส่วนถูกที่เราจะเข้าใจจริงๆ ว่า ความหมายเดิมหมายความว่าอย่างไร อย่างธรรม คือ สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง แต่พอเพิ่มคำว่า “รูปะ” หรือ “รูป” รวมกับธรรม คือ ธรรมที่เป็นฝ่ายรูป หรือส่วนที่เป็นรูป ที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น มีไหมคะ รูปธรรม มีหรือไม่มีคะ มี ที่ไหนบ้างมีรูปธรรม
ผู้ฟัง ก็มีอยู่ทั่วๆ ไป
ท่านอาจารย์ ที่ตัวมีไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ นอกตัวไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ข้างบนนี่มีไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่พ้นเลย ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่า ไม่พ้นจากธรรม นี่คือความรู้ แต่ก่อนไม่เคยรู้เลย ต้องไปแสวงหาธรรมที่ต่างๆ พยายามไปที่โน่นบ้าง ไปที่นี่บ้าง แต่พอเข้าใจ เข้าใจจริงๆ ก็รู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่พ้นจากธรรมเลย สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม
นี่เราเข้าใจรูปธรรมดีแล้ว หรือมีใครอยากจะซักถามเรื่องรูปธรรมบ้างคะ เข้าใจทุกคนหรือเปล่าคะ รูปธรรมอยู่ในพระไตรปิฎกหรือเปล่าคะ เราจะฟังทีละคำ แล้วให้เข้าใจตามไปทีละคำ ไม่ได้ไม่ลืม และไม่สับสน ที่เคยอ่าน เคยฟัง เคยรู้มาทั้งหมด ทิ้งไปเลย หรือไม่ต้องเอามาเกี่ยวข้องที่นี่ก็ได้ จำไว้ เก็บไว้ แต่กำลังฟังสิ่งใหม่
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะศึกษาวิชาอะไรทั้งสิ้น อย่างในห้องเรียน คนที่กำลังพูดเรื่องอะไร เรามีหน้าที่ฟังให้เข้าใจสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังเท่านั้น ไม่ต้องเอาสิ่งอื่นมารวม เพราะเรากำลังฟังเรื่องนั้น ถ้าเขาจะพูดเรื่องปลูกต้นไม้ เราจะไปเอาเรื่องกับข้าวในครัว ขิงข่ามาไหมคะ เราก็ไม่ไปเอามา เรากำลังฟังเรื่องปลูกต้นไม้ เราก็ต้องฟังเรื่องต้นไม้มันคืออะไร เพราะฉะนั้นทุกวิขาหมด ไม่ว่าที่ไหน เวลาฟังก็หมายความว่า ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยิน ถ้าสงสัย หรืออยากจะถาม ก็คือถามเรื่องสิ่งที่เรากำลังได้ยินได้ฟังเท่านั้น เอาแค่ที่กำลังได้ยินได้ฟัง ไม่เกินเลยไปถึงที่อื่น
เพราะฉะนั้นเวลานี้ที่บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธาตุ “ธา – ตุ” หรือ “ธรรม” หมายความถึงว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แล้วไม่เป็นของใครด้วย จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งทำให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้น เช่น เสียง เสียงเกิดจากอะไรคะ เสียงมีที่เกิดไหมคะ
ผู้ฟัง เสียงก็มาจากกล่องเสียง
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ใช่กล่องเสียง มีเสียงได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์ แน่ใจหรือคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ ถ้าเราทำให้มันเกิด
ท่านอาจารย์ ถ้าเราไม่ทำ ยังจะมีเสียงไหม
ผู้ฟัง มีค่ะ เป็นเสียงที่เกิดจากคนอื่นทำ หรือสิ่งอื่นที่ทำให้เกิดเสียง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเสียงก็คือของแข็ง ๒ อย่าง กระทบกันแรงๆ เมื่อกี้ก็มีเสียงแล้ว ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิด เขาต้องมีสิ่งที่ทำให้เกิด ซึ่งเราใช้คำว่า “ปัจจัย” จะเกิดเองไม่ได้เลยทั้งสิ้น นี่คือการตรัสรู้ เพราะว่าโดยมากเราเกิดมาแล้ว เราไม่เคยคิดเราเกิดมาอย่างไร ชีวิตต่อไปเราจะเป็นอย่างไร ทำไมวันนี้เราคิดอย่างนี้ วันก่อนเราคิดอีกอย่างหนึ่ง ทำไมเพื่อนเราคิดอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่เคยคิดมาเลย แต่จากการตรัสรู้ ทรงแสดงความละเอียดทุกเสี้ยววินาที และเล็กยิ่งกว่านั้นอีก คือ ทุกขณะจิต
เพราะฉะนั้นนี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เวลาไม่รู้ก็คิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่พอรู้แล้วก็คือธรรมทั้งหมด แล้วจะค่อยๆ เข้าใจความละเอียดของธรรมแต่ละอย่างเพิ่มขึ้น
ตอนนี้เข้าใจคำว่า “รูปธรรม” หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ และไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อไรคะ ถามให้คิดอีก
ผู้ฟัง เมื่อมีเหตุให้เกิดใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง มีชั่วขณะที่ปรากฏ จริงในขณะที่ปรากฏ เฉพาะขณะที่ปรากฏ อย่างเสียง มีจริงเมื่อไร จริงเมื่อเสียงกำลังปรากฏ พอไม่มีเสียงแล้ว จะบอกว่าเสียงเมื่อกี้นี้ดับไปแล้ว ขณะนี้เสียงยังไม่ได้ปรากฏเลย มีจริงไหม ขณะที่เสียงไม่ปรากฏ เสียงมีจริงไหม
ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะไม่ปรากฏ ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้นชีวิตของเราทุกขณะ ซึ่งเหมือนกับว่าไม่เคยสูญหายไปเลยสักขณะเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้วในขณะหนึ่งมีชั่วขณะที่ปรากฏ ยกตัวอย่างอย่างเสียง เสียงมีเมื่อปรากฏ แต่เวลาที่เสียงไม่ปรากฏ จะบอกว่าเสียงมีได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นชีวิตสั้นมาก เสียงที่ปรากฏ หมดไปแล้ว แล้วก็ปรากฏอีก แล้วก็หมดไปแล้ว แล้วก็ปรากฏอีก แล้วก็หมดไปแล้ว นี่คือทุกอย่างที่ปรากฏสืบต่อกันเหมือนไม่มีอะไรหายไปเลย แต่ความจริงทุกอย่างที่เกิด ดับทันที เร็วมาก ถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่มีทางที่จะรู้ความจริง ก็คิดว่า ทุกอย่างสืบต่อตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ความจริงแล้ว วันหนึ่งๆ มีอะไรบ้างที่ยังเหลือ ที่เห็นเมื่อเช้านี้อยู่หรือเปล่าคะ เห็นตอนเช้าๆ เห็นนั้นยังอยู่หรือเปล่า
ผู้ฟัง บางอย่างก็อยู่ บางอย่างก็ไม่อยู่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เห็นค่ะ เอาเห็น ไม่ใช่เอาสิ่งที่ถูกเห็น
ผู้ฟัง ไม่อยู่ค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่อยู่แล้ว เห็นเมื่อกี้นี้อยู่หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่อยู่แล้ว
ท่านอาจารย์ ได้ยินเมื่อกี้อยู่หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่อยู่แล้ว
ท่านอาจารย์ ได้ยินขณะนี้อยู่หรือเปล่า
ผู้ฟัง อยู่ค่ะ
ท่านอาจารย์ หมดแล้วค่ะ เร็วแสนเร็ว เพราะฉะนั้นการฟังธรรม อย่าคิดว่าเราจะเข้าใจได้เร็ว วันเดียว ฟังครั้งเดียว แต่ต้องตลอดชีวิต แล้วจะค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น และความจริงนี่ไม่เปลี่ยน ถ้ามีคนบอกว่า ทุกอย่างเที่ยง ไม่มีอะไรสูญหายดับไปเลย ถูกหรือผิด ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าถูก ไม่เห็นอะไรหายไปเลย ก็นั่งกันอยู่ที่นี่ตั้งนาน หลายนาทีแล้วใช่ไหมคะ แต่ผู้รู้จะรู้เลยว่า เมื่อย่อยออกไปแล้วจนเล็กกว่าเสี้ยววินาที ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับ แล้วก็สืบต่อกัน แม้แต่เห็นขณะนี้ก็ไม่ใช่ขณะก่อน ถอยๆ จนกระทั่งไม่ใช่ขณะเมื่อเช้านี้ ไม่ใช่ขณะเมื่อวานนี้ ไม่ใช่ขณะตั้งแต่เกิดจนกระทั่งโตมา
เพราะฉะนั้นทุกอย่างถ้ารู้แล้ว จะรู้ได้ว่า มี แล้วหามีไม่ คือเกิดแล้วดับ เร็วมากทันที ไม่มีอะไรเหลือ ชีวิตตอนเด็ก ตั้งแต่เกิด ไม่เหลือเลย ตอนเข้าโรงเรียนอนุบาล ยังเหลือไหมคะ ไม่เหลือ พรุ่งนี้ชีวิตขณะนี้จะเหลือไหมคะ ก็ไม่เหลือ เพราะฉะนั้นจะมีคำเพิ่มขึ้นมาอีกคำหนึ่ง คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง หมายความถึงเกิดดับ คำว่า “ไม่เที่ยง” ที่นี่หมายความว่า เกิดแล้วก็ดับ
เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดแล้วปรากฏ จะต้องมีลักษณะ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา