เด๊กๆกับธรรม - ยิ่งไม่มีเรา ยิ่งสุข
คุณฟองจันทร์ ท่านอาจารย์กำลังจะพูดว่า ธรรมสามารถจะเปลี่ยนนิสัยของเราได้ ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ เมื่อมีปัญญา
คุณฟองจันทร์ เมื่อมีปัญญา ซึ่งปัญญานั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ
ท่านอาจารย์ จากการฟัง ขณะนี้เข้าใจอะไร นั่นคือปัญญา ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา แต่ภาษาไทย คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ความรู้ถูก
คุณฟองจันทร์ ซึ่งต่างจากปัญญาในทางโลก ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ภาษาไทยก็เก็บไว้เลย ไม่ต้องเอามาปะปนกับภาษาบาลีเลย เพราะว่าใช้คำสับสน และไม่ใช่คำที่มีความหมายที่ถูกต้องด้วย
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นความสุขที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ สิ่งที่
ท่านอาจารย์ ความสุขที่แท้จริง คือ รู้ว่าไม่มีเรา มีเรานี่ ทุกข์แค่ไหนคะ
ผู้ฟัง ก็มากครับ เพราะว่ารู้ว่าเป็นเรา เราก็จะคิดว่าคนโน้นเป็นอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ ใครเขาจะมองเราอย่างไร ใครเขาจะคิดเราว่าอย่างไร เขาจะชอบเราหรือเปล่า หรือเราทำอย่างนี้ ผิดไปแล้ว จะทำอย่างไร เดือดร้อนมากมายมหาศาล แต่ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม ความเบาจะมี และการที่ความดีทั้งหลายจะหลั่งไหลมาเพราะรู้ว่าไม่มีเรา จะเป็นประโยชน์กับโลกอย่างมากมายค่ะ ทั้งตัวเอง ทั้งคนอื่น ทั้งสังคมด้วย
ผู้ฟัง เมื่อก่อนผมเคยสงสัยว่า ถ้าคิดว่าไม่มีเรา เราไม่เอาใจไปผูกกับสิ่งอื่นรอบตัวเรา จะทำให้เกิดการเพิกเฉยกันในสังคมหรือเปล่าครับ
ท่านอาจารย์ นั่นคือความคิดซึ่งไม่ใช่ความจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทำประโยชน์ยิ่งกว่าใครในโลก ตั้งแต่ก่อนที่คนอื่นจะตื่นนอน ทรงตรวจดูสัตว์โลกว่า มีใครบ้างที่สะสมมาที่จะทรงอนุเคราะห์ด้วยการแสดงธรรม จะเห็นพระภิกษุออกบิณฑบาตแต่เช้า ใช่ไหมคะ แต่ก่อนนั้นเสด็จไปโปรดคนที่จะได้รับฟังพระธรรมแล้วจะเข้าใจ แม้จะไม่ใช่วันนั้น แต่อีกนานเขาก็จะเข้าใจได้ก็ไป หลังจากที่บิณฑบาตแล้ว เสวยภัตตาหารแล้วก็ทรงแสดงธรรม ก่อนที่จะไปประทับเข้าไปในพระคันธกุฎีพักผ่อน หลังจากนั้นแล้วก็ออกมาสนทนาธรรมอีก และตอนเย็นก็มีคนที่ไปเฝ้า พวกชาวบ้านชาวเมืองที่ทราบว่า ประทับอยู่ที่ไหนก็ไปเฝ้าเพื่อฟังธรรม ตอนค่ำชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว พระภิกษุก็มาทูลถามปัญหาต่างๆ หมดเรื่องพระภิกษุก็ยังเทวดามาอีกตอนดึก บรรทมเพียง ๑ ชั่วโมง ชีวิตใครมีประโยชน์อย่างนี้บ้าง ที่จะทำได้อย่างนี้ เพราะอะไร เพราะพระมหากรุณาคุณ ที่รู้ว่า ถึงจะมีทรัพย์สินมหาศาล มีทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เที่ยงค่ะ ไม่มีใครเอาอะไรไปได้เลย คำชมแค่ผ่านหูก็หมดแล้ว ไปตื่นเต้นอะไรนักหนา เฟื่องฟูใจอะไรมากมาย หลายวันหลายคืน ใช่ไหมคะ เพราะอะไร เพราะความเป็นเรา เพราะมีเรา แต่ถ้าไม่มีเรา ก็มีสภาพธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลกับฝ่ายอกุศล กุศลคือสภาพธรรมที่ดีงาม อกุศลก็คือสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม แล้วเมื่อรู้อย่างนี้ ใครล่ะจะทำสิ่งที่ไม่ดีงาม ถ้าปัญญาสามารถที่จะดับถึงระดับอกุศลได้ เพราะว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า “พระอรหันต์” เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ไกลจากกิเลส คือดับกิเลส ไม่มีกิเลสใดๆ มาแผ้วพานได้เลย อย่างเราเห็นอาหารอร่อย รู้สึกอย่างไรคะ
ผู้ฟัง เราก็อยากกิน เราก็ชอบ
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ ไม่มีเลยที่จะมีความติดข้อง ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีริษยา ไม่มีอะไรทุกอย่างที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นจะเบาสบายไหมคะ เห็นใครก็ไม่เดือดร้อน ใครจะเปลี่ยนสีผมอย่างไร ก็ไม่เห็นเดือดร้อนเลย มีแต่ความเมตตาในความไม่รู้ว่า เขายังไม่รู้ เพราะฉะนั้นมีทางไหนที่เขาจะรู้ได้ ก็ช่วยให้เขาได้รู้ เหมือนอย่างพระองค์ทรงรู้ ทรงกำจัดกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เราทุกข์เพราะกิเลสค่ะ ทั้งๆ ที่วันนี้เราก็แข็งแรงดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ใจที่กำลังเดือดร้อนสักนิดหนึ่ง ก็เพราะกิเลส แต่ลองคิดถึงผู้ที่ไม่มีกิเลสเพราะดับสนิท ไม่มีเชื้อที่จะเกิดกิเลสใดๆ ได้อีกเลย จะทำประโยชน์ได้มากมายแค่ไหน ที่เราทำประโยชน์ได้น้อย สละได้น้อย เพราะยังมีเรา แต่ถ้าเรามีปัญญาจริงๆ ดับกิเลส กิเลสจะหมดไปเป็นส่วนๆ แล้วเราก็จะทำประโยชน์ได้มากขึ้น