พระสุตตันตปิฎก - รู้จักพระสูตร


    สนทนาธรรมกับเด็ก


    ทุกคนอย่าคิดว่า ฉันยังเด็ก ยังไม่อ่าน อ่านเลย พระไตรปิฎกทั้งหมด นี่เป็นปิฎกที่ ๑ แต่ถ้าคิดว่าพระไตรปิฎกที่เป็นพระวินัยปิฎกละเอียด ก็ลองไปอ่านพระสุตตันตปิฎก

    เพราะฉะนั้นชีวิตทุกวันจะมีปัญหามากในเรื่องการกระทำทางกาย ทางวาจา ซึ่งถ้าใครสนใจอยากจะรู้ความละเอียดว่า อะไรดี ก็อ่านพระวินัย แต่ถ้าเห็นว่า พระวินัยไม่มีเรื่องมีราวอะไรเลย ก็อ่านพระสูตร ซึ่งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร หรือพระอภิธรรมก็คือพระธรรม ถ้าไม่มีธรรม คือ จิต เจตสิก รูป จะไม่มีแม้พระวินัย หรือพระสูตร หรือพระอภิธรรมเลย แต่เพราะเหตุว่ามีธรรมซึ่งจำแนกออกไปได้หลายอย่าง คือ ถ้าเป็นธรรมที่เกี่ยวกับการรวบรวมกันแล้วมีการสมมติบัญญัติว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคน เป็นสัตว์ คนก็คือจิต เจตสิก รูป สัตว์ก็คือจิต เจตสิก รูป แต่ทำไมบอกว่า นี่แมว นั่นนก นี่คน ถ้าเราไม่ใช่คำอย่างนี้ เราจะรู้ไหม เราก็ไม่รู้ว่า เราหมายถึงปรมัตถธรรมอะไร แต่พอเราบอกว่า คน เรารู้เลยว่า ต้องมีจิต เจตสิก รูป แต่ปฏิสนธิจิตรึการเกิดเป็นผลของกุศล ถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นผลของอกุศลก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นจิ้งจก ตุ๊กแก งู อะไรก็ได้

    นี่ก็คือเรามีความเข้าใจทั้ง ๒ อย่าง คือ เข้าใจเรื่องราวด้วย และเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมด้วย แต่ต้องทราบว่า ปรมัตถธรรมสำคัญที่สุด เพราะว่าเป็นธรรม ที่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เราเคยคิดว่า คนเที่ยง ใช่ไหมคะ ตอนไม่เที่ยงคือตอนตาย แต่ความจริงเป็นจิตทุกขณะที่เกิดดับ เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตก็ดับ รูปก็เกิดแล้วดับ แต่ว่าดับเร็วจนกระทั่งเหมือนไม่ดับเลย เหมือนกับอยู่ตรงนี้ตลอด แต่ตรงนี้ตลอดได้อย่างไร ในเมื่อเห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ก็เป็นแต่ละลักษณะซึ่งสั้นมาก

    เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ แม้แต่ “ธรรม” คำเดียวที่เราได้ยินได้ฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีอะไรเลยซึ่งไม่ใช่ธรรม แต่ธรรมมากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้นจึงต้องมี “ธรรม” ที่แบ่งประเภทใหญ่ๆ ให้เข้าใจ เป็นนามธรรมกับเป็นรูปธรรม และธรรมมากมายเหลือเกิน ไม่ใช่อยู่ที่อื่นเลย ชีวิตวันนี้จนถึงเดี๋ยวนี้ ธรรมมากไหม ตลอดเวลาจนนับไม่ถ้วน

    เพราะฉะนั้นจึงต้องแสดงธรรมโดยนัยของพระสูตร เพื่อจะกล่อมเกลาจิตใจของแต่ละอัธยาศัยให้เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม และให้เห็นโทษของความไม่รู้หรืออกุศลทั้งหมด ทรงแสดงไว้ละเอียดมากกับแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นธรรมที่น่าฟังมากในพระสูตร

    เรื่องราวในพระสูตรเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี จะต่างกับคนในสมัยนี้ไหมคะ เรื่องชีวิต ไม่ต่างเลย คนสมัยก่อนมีโลภ มีโกรธ มีหลง มีความสนุกสนาน มีความเมตตากรุณา คนสมัยนี้ก็เหมือนกัน เปลี่ยนแต่ชื่อใช่ไหมคะ ถ้าเอาชื่อในพระสูตรออก แล้วเอาชื่อในยุคนี้ไปใส่ ก็เปลี่ยนสภาพธรรมไม่ได้ โลภะของคนนั้นก็ยังเป็นโลภะของคนนั้น โทสะของคนนั้นก็ยังเป็นโทสะของคนนั้น หรือจะเอาชื่อสมัยนี้ออกหมด แต่ก็เปลี่ยนสภาพธรรมไม่ได้ เพราะว่าสภาพธรรมเป็นปรมัตถธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่การอ่านพระสูตรจะทำให้จิตใจของเราอ่อนโยน และสอนละเอียดมาก เช่น ความเป็นคนตรง

    ในพระอภิธรรมจะพูดเรื่องจิต เจตสิก รูปที่เป็นกุศล ที่เป็นอกุศล แต่ในพระสูตรจะเอาอุปนิสัยต่างๆ ของแต่ละคนมา และแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ความเป็นคนตรงเป็นประโยชน์อย่างไร ถ้าเราไม่มีความเห็นถูก เราก็เป็นคนที่ตรงไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนที่เห็นถูก เราก็จะต้องเป็นคนตรง ถ้าเวลาที่ความโกรธเกิดขึ้น แล้วรู้ว่าความโกรธเป็นอกุศล เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีเลย เป็นประโยชน์กับตัวเองหรือเปล่า ไม่เป็น เป็นประโยชน์กับคนที่เราโกรธหรือเปล่า ก็ไม่เป็น เป็นประโยชน์กับใครสักคนไหม ก็ไม่เป็น ก็ไม่เป็นสักอย่างเดียว

    นั่นคือลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นความโกรธที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่ทรงแสดงโดยนัยของพระสูตรโดยหลากหลาย โดยละเอียด เราจะไม่เห็นโทษเลย และถ้าอกุศลที่ไม่ดี อย่างความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธของสลิตา เบลล์เห็นว่าดีไหมคะ ไม่ดี และความโกรธของเบลล์เอง ดีไหมคะ หรือความโกรธของเบลล์ดี แต่ของสลิตาไม่ดี นี่คือไม่ตรง เห็นไหมคะ

    เพราะฉะนั้นเรื่องของการตรง ต้องตรง คือ เห็นถูกตั้งแต่ต้น แล้วไม่เข้าใครออกใครเลย ไม่ใช่พ่อแม่โกรธไม่เป็นไร เราโกรธไม่เป็นไร คนอื่นโกรธเป็นไร อย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าความโกรธก็คือความโกรธ อยู่ที่ไหนก็ไม่ดี ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ ยิ่งเรียนเรายิ่งรู้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้นสิ่งไหนที่เป็นความเห็นผิด แม้เพียงนิดเดียว ต้องทิ้ง ต้องละ ไม่ใช่ว่ายังเก็บเอาไว้ ถ้าเป็นความเห็นถูกก็คือว่าสิ่งนั้นก็จะต้องอบรมให้เห็นถูกมากขึ้น ต้องเป็นคนตรง

    เพราะฉะนั้นผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญา จนถึงกับดับกิเลสได้ ต้องมีคุณสมบัติคือ เป็นอุชุปฏิปันโน การปฏิบัติของเราก็ตรงด้วย


    หมายเลข 8584
    23 ส.ค. 2567