พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
สนทนาธรรมกับเด็ก
ท่านอาจารย์ เช่นในขณะนี้ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ที่จะต้องเข้าใจแม้คำแรก คือ ธรรม หรือศาสนา ศาสนาคือคำสอน พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนเรื่องอะไร ทรงสอนธรรม ที่เราใช้คำว่า “พระธรรม” เพราะว่าพระรัตนตรัยมี ๓ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
สำหรับพระพุทธเจ้าเราทราบว่า ทรงประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ แต่พระธรรม ถ้าเราไม่ศึกษา เราจะไม่ทราบเลย และพระสงฆ์ที่นี่ ความหมายถึงผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็อบรมเจริญปัญญา จนสามารถดับกิเลสได้ เช่น พระอรหันต์
มีใครชอบกิเลสบ้างไหมคะ หรือว่ายังไม่รู้จักว่า กิเลสคืออะไร ชอบหรือไม่ชอบคะ
ผู้ฟัง ชอบกิเลสเป็นบางอย่าง
ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นความจริงใจ เพราะว่าเราชอบกิเลสบางอย่าง และไม่ชอบกิเลสบางอย่าง อย่างโทสะ ความโกรธ ความขุ่นใจ ความเสียใจ ความน้อยใจ เราไม่ชอบแน่ ไม่ว่าใคร เด็กๆ ก็ไม่ชอบ แต่ว่ากิเลสบางอย่างเราชอบ เช่น ความติดข้อง ความเพลิดเพลิน ความสนุกสนาน
เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นเรื่องจริง และคำตอบก็ตรง คือ คำตอบตรงกับความจริง แต่ทรงแสดงไว้ว่า กิเลสทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นความติดข้อง ความสนุกสนาน ซึ่งเป็นโลภะ หรือโทสะ ความขุ่นเคืองใจ ความน้อยใจ ความเสียใจ ความไม่สบายใจทุกอย่าง ไม่มีใครชอบ แต่ทั้งหมดที่เป็นกิเลส ความหมายของ “กิเลส” คือสภาพธรรมที่ทำให้จิตเศร้าหมอง “เศร้าหมอง” ที่นี่ไม่ได้หมายความว่า โศกเศร้า เศร้าหมองที่นี่ ความหมายว่ามีมลทิน หมายความว่าไม่ผ่องใส
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ ให้เราละกิเลสด้วยปัญญา เพราะเหตุว่าสิ่งใดก็ตามที่จะทำให้จิตใจไม่ผ่องใส สิ่งนั้นควรจะละ ไม่ใช่ควรจะติด แต่ไม่ได้ทรงแสดงแบบบังคับว่า ให้ละ ให้ละ ให้ละ เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมาบอก หรือจะมาบังคับให้เราละสิ่งนั้น ละสิ่งนี้ แต่ว่าให้ฟังพระธรรมจนกระทั่งเห็นจริง เห็นโทษ แล้วปัญญานั้นเองจะทำหน้าที่ละคลายกิเลสไปตามลำดับ ไม่ใช่ทีเดียวหมดเลย เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะหมดโลภะ หมดไม่เหลือเลย ผู้ที่หมดโลภะไม่เหลือเลย มีอยู่บุคคลเดียว คือ พระอรหันต์ แต่ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์จะค่อยๆ หมดกิเลส ตั้งแต่ขั้นแรก คือ ความเห็นผิด ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่ จนสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรม แล้วก็ละกิเลสไป
แต่เรายังคงไม่ไปถึงตอนนั้นใช่ไหมคะ ต้องเริ่มฟังเหมือนเราเข้าโรงเรียนอนุบาลเลยจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้ามีใครบอกได้ว่า ธรรมคืออะไร พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม แน่นอนใช่ไหมคะ สิ่งที่ทรงแสดงเราเรียกว่า “พระธรรม”
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นควรจะพิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมคืออะไร นี่เป็นจุดตั้งต้นของการศึกษาพระพุทธศาสนา หรือจะเข้าใจพระพุทธศาสนาจริงๆ ต้องเข้าใจทุกคำที่ได้ยินตามลำดับ พอที่จะมีใครตอบได้บ้างไหมคะว่า ธรรมคืออะไร ยากไหมคะ ธรรมคืออะไร ยากไหมคะ เคยได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม ธรรม หรือพระธรรม แล้วธรรมคืออะไร
ผู้ฟัง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ สั่งสอนเรื่องอะไร
ผู้ฟัง ละความชั่ว
ท่านอาจารย์ ละความชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ย่อลงมาแล้วนะคะ ยากไหมคะละความชั่ว แค่นี้เราต้องตรงแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้ายากไหมที่ให้ละความชั่ว ยาก ถ้ายังมีเราอยู่ตราบใด ละได้ไหม ไม่ได้ แต่ต้องเป็นปัญญาจริงๆ เพราะว่าปัญญาทำหน้าที่รู้แล้วละสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด ทำความดีให้ถึงพร้อมก็ยากนะคะ ไม่ใช่แค่ทาน ยังต้องศีลอีก แล้วยังความสงบของจิตอีก ชำระจิตให้บริสุทธิ์ หมายความว่าให้หมดจดจากกิเลส ยิ่งยากใหญ่ แต่มิฉะนั้นแล้วถ้าไม่ทรงแสดงอย่างนี้ ไม่ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน
ลองคิดดูว่า วันนี้เรามีกิเลสไหมคะ มี แล้วคิดดู จะละได้อย่างไร มีใครสักคนหนึ่งไหมที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และสามารถให้เราเกิดปัญญาจนสามารถละกิเลสได้ บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เลิศที่สุด เพราะว่ากิเลสไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอาเงินไปซื้อแล้วทิ้งไป ให้หมดไปได้ ไม่สามารถทำให้กิเลสหมดไปด้วยเงินทอง แต่กลับยิ่งติด แต่การที่เราสามารถเห็นพระคุณ ก็คือว่า ถ้าเราเกิดโกรธ และเราก็รู้ว่า เราบังคับความโกรธไม่ได้เลย แต่ผู้ที่ทรงแสดงธรรมจนกระทั่งสามารถให้เราดับความโกรธ ไม่เกิดอีกเลย ผู้นั้นคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ใช่แต่เฉพาะความโกรธ ความติดข้องต้องการซึ่งเป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์ ลองคิดดู ถ้าเราไม่ติดข้อง ไม่ต้องการอะไรเลย จะดีไหมคะ จะสบายไหม ไม่เดือดร้อนเลย ใช่ไหมคะ แต่ที่เราเดือดร้อนมากๆ ก็เพราะเหตุว่าเราติด เราต้องการ เราขวนขวาย เราอยากได้ทุกอย่าง ที่จะมีการทุจริตต่างๆ เกิดขึ้นก็เพราะความต้องการ หรือความติดข้อง
เพราะฉะนั้นถ้าเราเกิดมีความพอใจอะไรสักนิดหน่อย และเรารู้ว่า นั่นเป็นความติดข้อง แต่ผู้ที่สามารถทรงแสดงธรรมให้เราดับความติดข้องได้หมด ไม่เหลืออีกเลย ไม่เกิดอีกเลย จะเป็นสุขสักแค่ไหน
เพราะฉะนั้นจะเห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ต่อเมื่อเราได้พิจารณาตัวเอง แล้วเรารู้ว่า กิเลสของเรามากอย่างนี้ กิเลสของคนอื่นก็มากอย่างนี้ แต่ผู้ที่ประเสริฐหรือเลิศที่สุด ไม่ใช่แต่เฉพาะในโลกนี้ ไม่ว่าในเทวโลก พรหมโลก ไม่มีผู้ใดเหนือพระองค์เลย เพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทรงแสดงพระธรรมให้บุคคลที่ได้ยินได้ฟังสามารถสิ้นทุกข์ โดยการดับกิเลสได้หมดเป็นสมุจเฉท เป็นสมุจเฉทคือไม่เกิดอีกเลย
นี่คือเราเริ่มจะมีศรัทธาที่จะเห็นชีวิตของเราที่เป็นทุกข์ ได้สิ่งที่ไม่พอใจบ้าง หรือต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ หรือต้องสูญเสียสิ่งที่พอใจ ซึ่งไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เราต้องเศร้าโศก เกิดมาแล้ว ไม่มีใครสักคนหนึ่งที่จะไม่เศร้าโศกด้วยประการใดๆ ก็ตาม จะมากหรือจะน้อยก็ตาม แต่ผู้ที่มีปัญญาสามารถจะดับความเศร้าโศกได้ ไม่เกิดอีกเลย
ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษาจริงๆ เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ถ้าเราเป็นชาวพุทธ แต่ว่าเรายังไม่ได้ศึกษาพระธรรม เหมือนกับเราไม่เห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย หลายคนตั้งแต่เกิดมาคงได้ยินเห็นพระพุทธรูปที่บ้าน ที่วัด นั่นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า พระพุทธรูปเป็นเพียงเครื่องหมายที่ทำให้เราระลึกถึงบุคคลผู้เลิศ ต้องทราบว่าระลึกถึงใครนะคะ ผู้ประเสริฐสุด ผู้ไม่มีกิเลสเลย ทรงแสดงพระธรรมเพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟังอย่างเดียว แม้แต่บุคคลที่จะสามารถเข้าใจพระธรรมอยู่แสนไกลเพียงคนเดียว ในพระสูตรจะเห็นได้เลยว่า เสด็จไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมกับบุคคลนั้นด้วยพระมหากรุณา ไม่ได้ต้องการสิ่งใดเลย นอกจากให้เขาเกิดปัญญาสามารถเข้าใจธรรมได้
เพราะฉะนั้นธรรมเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากที่เราควรจะรู้จริงๆ ว่า คืออะไร และทรงแสดงไว้ที่เป็นประโยชน์กับเราในชีวิตประจำวันนี่เอง ไม่ใช่ต้องไปคอยให้เราเป็นทุกข์ แล้วจะเอาธรรมมาปลดเปลื้องความทุกข์ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย