รู้มั้ย ว่าขาดอะไร
ท่านอาจารย์ ที่เรานั่งอยู่อยู่ตรงนี้ ถ้าเราได้ทราบจุดประสงค์ว่าเรามาเพื่ออะไร จุดสำคัญที่สุด จุดเด่นเพื่ออะไร การที่เราจะสอน หรือไม่สอน หรือจะช่วยใครหรือไม่ช่วยใคร เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ขณะนี้เดี๋ยวนี้ แต่ว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้ ประโยชน์ที่สุดคือเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังว่า ฟังเรื่องอะไร ฟังอะไร เพราะว่าทุกคนก็มีทุกอย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ แต่ว่าสิ่งหนึ่งซึ่งไม่มี เราพอจะคิดออกไหมคะว่า เราไม่มีอะไร คือธรรมเป็นเรื่องที่ถ้าคิด เราก็จะได้ความเข้าใจ เราเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง คิดคือไตร่ตรอง ไม่ใช่เพียงแต่ฟังใครแล้วก็เชื่อเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเราฟังผิด เราก็เชื่อผิดๆ แต่ไม่ว่าจะฟังใครก็ตาม เราไตร่ตรองแล้วก็เป็นตัวของเราเอง แต่ละคนคือแต่ละหนึ่ง ในที่นี้จะไม่มีใครที่ซ้ำกันเลยในความคิด ซ้ำกันในประสบการณ์ ในเรื่องราวของชีวิตแต่ละคน แต่ถ้าเราไม่เคยศึกษาพระธรรมมาก่อนเลย แม้ว่าเราจะมีทุกอย่างทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งลาภ ทั้งยศ ทั้งสรรเสริญ สุข ก็ตามแต่ แต่สิ่งที่ไม่มีคือ ปัญญา
บางคนคิดว่าตัวเองมีปัญญาแล้ว รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เขาสามารถจะเรียน และทำอะไรได้สำเร็จหลายอย่าง แต่ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ หมายความว่าคนนั้นจะเกิดมีปัญญาเอง ยากแสนยาก และจะต้องเป็นปัญญาเพียงขั้นต้นนิดๆ หน่อยๆ แต่ถ้าจะมีปัญญาแท้จริง และลึกซึ้ง และเป็นปัญญาที่สามารถเจริญต่อไปได้ ต้องเป็นผู้ที่ฟังพระธรรม
เพราะทุกคนเคยได้ยินคำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ชื่อนี้เป็นชื่อที่คนอื่นจะมีไม่ได้เลย นักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์กี่คนก็จะใช้ชื่อนี้ไม่ได้เลย สำหรับผู้เดียว คือ ผู้ที่ได้อบรมบารมีถึงขั้นที่สามารถรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม แล้วทรงประกอบด้วยพระญาณ คือ พระปัญญาหลากหลายที่จะทรงแสดงธรรม ที่จะให้คนอื่นเกิดปัญญาของตนเอง
เพราะฉะนั้นถึงใครจะมีอะไรสักเท่าไร แต่ถ้ายังไม่ได้ฟังธรรม ก็ยังไม่มีสิ่งหนึ่งคือปัญญา
เพราะฉะนั้นปัญญาที่นี่ ไม่ใช่ปัญญาที่เราเข้าใจว่าเรามี หรือสติที่เราเคยได้ยิน และครูเคยบอกว่า เด็กคนนี้มีสติปัญญามาก ก็ยังไม่ใช่สติ ถ้ายังไม่ได้ศึกษาธรรมจริงๆ เราจะเข้าใจผิด เราจะไม่รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟังธรรมก็คือเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเหตุว่าทุกอย่างต้องมีการศึกษาตามลำดับเป็นพื้นฐาน เราจะพูดเรื่องอริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปปาท ขันธ์ ๕ ธาตุ เป็นเรื่องที่ยังไม่ถึง เพราะว่าปัญญาขั้นต้นยังไม่มี
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมจะขาดการศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ตามลำดับไม่ได้ ขั้นต้นก็คือแม้แต่คำที่ได้ยินชินหูก่อนมาที่นี่ คือการฟังธรรม คิดไหมคะว่า ธรรมคืออะไร แล้วเรารู้จักธรรมแล้วหรือยัง คือถ้าเป็นผู้ละเอียดจะไม่ผ่านแต่ละคำ เพื่อที่จะไตร่ตรองว่า ความรู้ที่เราเข้าใจว่ารู้ หรือคิดว่ารู้ เป็นการรู้จริงๆ หรือเปล่า หรือรู้เพียงชื่อว่า ธรรมเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระองค์ทรงสอนเรื่องอะไร ต้องทรงสอนเรื่องธรรม แล้วธรรมคืออะไร เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน แต่ถึงพูดอย่างนี้ เราก็ยังไม่รู้ว่าอะไรอีก มีใครที่ใหม่ที่สุดพอจะตอบได้ไหมคะว่า ธรรมคืออะไร คิดแล้วก็ตอบเองก็ได้ ลองดูค่ะ
ผู้ฟัง เป็นคนที่คิดว่า ถ้าทำดีแล้วได้ดี และคิดว่า ทุกวันนี้มีทุกอย่าง ถึงแม้จะร่ำรวย แต่มีพ่อแม่ที่ดี มีสามีที่ดีมาก และตัวเองก็มีความสุข แล้วมีความสุขสบาย ก็มีความรู้สึกว่า พอมาถึงจุดนี้ เราก็มีความสุขมากทุกวันๆ
ท่านอาจารย์ แต่ยังไม่รู้จักธรรมใช่ไหมคะ มีอะไรทั้งหมดก็ยังไม่รู้จักธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งใดที่ทรงแสดง สิ่งนั้นไม่เปลี่ยน พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่ไปนึกคิดไตร่ตรองมาหลายๆ ปี ก็เอามาทรงแสดง แต่ว่าจากการอบรมมากมายมหาศาลถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เป็นเวลาที่ยาวนานมาก เพราะว่าตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ เราไม่สามารถจะนับขณะจิตได้เลยว่าเท่าไรแล้ว แล้วเราก็นับไม่ถ้วน และยิ่งไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ชีวิตผ่านไปทีละ ๑ ขณะ โดยไม่รู้ตัว โดยไม่มีการนับ แต่ผู้ที่รู้จริงๆ สามารถทรงแสดงขณะจิตทีละ ๑ ขณะว่า ขณะนั้นเป็นธรรมอะไร อย่างไร
เพราะฉะนั้นธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง เกิดมานี่จริง แต่ไม่รู้ว่าที่เกิดเป็นธรรมที่เกิด เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม จากการตรัสรู้ ถ้าศึกษาธรรมจะไม่ยากตรงที่ว่า คำไหนที่เข้าใจแล้ว คำนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เป็นคำจริงไปตลอดทั้ง ๓ ปิฎก ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก หรือพระอภิธรรมปิฎก
ธรรมคือสิ่งที่มีจริง นี่คือพื้นฐาน เรายังไม่ได้แจกแยกอะไรเลย แต่ให้เริ่มมีความเข้าใจถูกว่า หมายความของธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ แสดงว่าอะไรถ้ากล่าวคำนี้ แสดงว่าที่พระองค์ตรัสรู้ ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องหลอก ไม่ใช่เป็นเรื่องเล่น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คิดเอา แต่เป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ และตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างจริง เห็น จริง ได้ยิน จริง ความรู้สึกเป็นทุกข์ ปวด เมื่อย เจ็บ จริง ความพอใจติดข้อง ความรัก ความชัง จริง ทุกอย่างจริง เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม
นี่เป็นสิ่งแรกที่ควรจะได้ทราบสำหรับคนที่ใหม่จริงๆ ก็ควรจะตั้งต้นว่า ทุกอย่างที่มีความจริง มีลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้น อย่างความโกรธ เวลาเกิดขึ้นรู้เลย หยาบกระด้าง ขณะนั้นผิดจากธรรมดาปกติ วันที่ไม่โกรธก็เป็นคนดี สนุกสนานรื่นเริง แต่พอโกรธเกิดขึ้นมา หงุดหงิด ขุ่นเคือง หยาบกระด้าง และกายวาจาก็แข็งกร้าว อาจจะมีการประทุษร้าย นั่นคือลักษณะอาการของสภาพธรรมที่เป็นความโกรธ ไม่มีใครบังคับบัญชาธรรมได้เลย
เพราะว่าธรรมมีอีกความหมายหนึ่ง หรือมีความหมายเดียวกับคำว่า “ธาตุ” หรือ “ธา – ตุ” เวลาที่เราพูดถึงธาตุ ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีเจ้าของ ธรรมก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้ ถ้าเป็นธรรมที่มีการเกิดขึ้น ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ธรรมนั้นๆ เกิด เช่น ความโกรธ ความขุ่นเคือง ความไม่พอใจ ถ้าเราเห็นสิ่งที่น่าพอใจ โทสะจะเกิดไม่ได้ ความโกรธจะเกิดไม่ได้ แต่ถ้าเราเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจแม้เพียงเล็กน้อย อย่างฝุ่น เราก็ไม่ชอบ ไม่พอใจ ขณะนั้นจะบอกให้พอใจก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เราเคยยึดถือว่า เป็นของเรา หรือเป็นตัวเรา โดยสภาพแท้จริงก็คือเป็นธรรมแต่ละชนิด ซึ่งมีปัจจัยก็เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมนั้นได้
เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดมีอีกชื่อหนึ่ง หรือขยายความให้กว้างขึ้นก็คือว่า เป็นปรมัตถธรรม มาจากคำ ๓ คำที่รวมกัน คือ ปรม + อรรถ + ธรรม
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะได้เลย ปรม ใหญ่ยิ่งจริงๆ คือมีปัจจัยเกิดแล้วดับไปเลย ใครจะไปทันทำอะไรกับสภาพธรรมนั้นได้
นี่คือลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเราอาจจะเคยไปวัด แล้วเคยได้ยินคนที่แก่วัด หรือเข้าวัดตั้งแต่เด็ก ก็จะชินหูกับคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนิจจัง คือไม่เที่ยง ทุกขัง คือเป็นทุกข์ อนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา