จิตเป็นสภาพที่เห็นแจ้งลักษณะ
ผู้ฟัง จิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้
ท่านอาจารย์ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ เช่น ขณะนี้กำลังเห็น เป็นจิตที่เห็น เพราะเขาสามารถจะรู้สิ่งที่ปรากฏ ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเห็นเพชรกับเห็นแก้ว จิตเป็นสภาพที่เห็นแจ้งลักษณะ แต่จิตไม่ได้จำ จิตเพียงแต่เห็น
เพราะฉะนั้นความจำเป็นเจตสิกอีกชนิดหนึ่ง ภาษาบาลีใช้คำว่า สัญญาเจตสิก แต่ภาษาไทยเรา สัญญาก็คืออาจจะทำด้วยกันว่า ฉันจะทำอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ สัญญาเป็นสภาพจำ เป็นเจตสิกซึ่งต้องจำทุกอย่างที่เกิด ไม่มีสัญญาเจตสิกที่เกิดแล้วไม่จำ ไม่ได้ค่ะ เพราะเหตุว่าหน้าที่ของเจตสิกชนิดนี้ก็คือว่า มีหน้าที่จำ สภาพธรรมทุกอย่างมีลักษณะเฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ แล้วก็มีกิจหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ ด้วย
อย่างที่เราบอกว่า เราทำงาน ความจริงจิตเจตสิกทำ ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป เราไม่มี แต่เพราะไม่รู้ความจริงว่า ที่เราทำงาน คือ จิตเจตสิกทำ แล้วก็ทำหน้าที่เฉพาะของจิตเจตสิกนั้นๆ ด้วย เช่น จิตจะไปทำหน้าที่ของเจตสิกไม่ได้เลย จิตจะไปโกรธ จิตจะไปเมตตาไม่ได้ จิตเป็นสภาพที่สามารถจะรู้ลักษณะเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏขณะที่เห็น รู้สิ่งที่ปรากฏว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นอย่างนี้ มีลักษณะอย่างนี้ ขณะที่เสียงปรากฏ จิตก็รู้เฉพาะเสียงว่า เสียงนั้นมีลักษณะอย่างนั้น รู้เฉพาะลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าเจตสิกอื่นๆ ก็ทำหน้าที่เฉพาะของเจตสิกนั้นๆ ไม่ก้าวก่ายกัน ปัญญาไม่ได้ทำหน้าที่ของสติ ปัญญาเป็นเจตสิก เป็นปัญญาเจตสิก เป็นสภาพที่เห็นถูก รู้ถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ แต่สติไม่ใช่ปัญญา
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราใช้คำภาษาไทยหลวมๆ สติปัญญา เราก็รวมไปแล้ว ไม่ได้แยกเลยว่า สติต่างกับปัญญา สติไม่ใช่ปัญญา
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมจะทำให้เราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างชัด ถูกต้อง โดยที่เข้าใจยิ่งขึ้นว่า สภาพนั้นๆ เป็นอนัตตา
ผู้ฟัง แล้วที่เรามาเรียนธรรม เราเรียนเพื่อรู้จักแค่นี้เท่านั้นหรือคะ
ท่านอาจารย์ ความเห็นถูกกับความเห็นผิด จะเลือกอย่างไหน ความไม่รู้กับความรู้ จะเลือกอย่างไหน เกิดมาแล้วตลอดชาติ ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม ก็ไม่รู้ไปทั้งชาติ ชาติต่อไปก็ไม่รู้อีก เมื่อไม่ได้ฟัง ก็มีความเป็นเรา มีความเป็นตัวตน แต่เราอยู่ที่ไหนคะ จิตเห็นเกิดแล้วก็หมดไป เวลาหลับสนิท ไม่มีจิตเห็น จิตได้ยินเกิดแล้วก็หมดไป เวลาหลับสนิทก็ไม่มีจิตได้ยิน
สิ่งที่เราเห็นวันนี้ ได้ยินวันนี้ เป็นเรา จริงๆ แล้วอยู่ที่ไหน ทุกอย่างเกิดแล้วดับไปหมด สิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าเกิดตาบอด สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏ จะว่าเป็นของเราได้ไหม เสียงที่กำลังได้ยิน เกิดขึ้นเพราะมีการกระทบกัน ทำให้เสียงเกิด เสียงของใคร ใครเป็นเจ้าของ เกิดแล้วก็ดับไปแล้ว ทุกอย่างที่เพียงเกิดแล้วดับไป เป็นของใคร ถ้ายังคิดว่าเป็นของเรา ถูกหรือผิด
ผู้ฟัง ผิดค่ะ
ท่านอาจารย์ ฉลาดหรือไม่ฉลาด ในเมื่อไม่มีแล้ว ก็ยังว่าเป็นของเรา ไม่มีเลย ทุกขณะเกิดแล้วดับหมดไปเลย แต่โดยความไม่รู้ เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อให้เห็น ให้หลง ให้คิดว่าเป็นเราต่อไปอีก จนกว่าจะตาย แต่ตายแล้วก็ยังต้องเกิดต่อไปอีก แต่ก็ไม่รู้ต่อไปอีก
เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่ว่า คนนั้นสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของการที่จะมีความรู้ถูก เห็นถูก หรือว่าจะเพลิดเพลินไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส แต่ว่าสิ่งนั้นๆ ก็ทำให้เกิดความทุกข์ ในเมื่อพลัดพรากจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งต้องพลัดพรากค่ะ แม้แต่สิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นเรา ของเรานั่นก็ช่างเถอะ ข้างนอก แต่เราทั้งตัวที่ยึดถือว่าเป็นเราทั้งตัว ก็ต้องหมดไป ในเมื่อตาย จะไม่กลับมาเป็นคนนี้อีกเลย โดยสิ้นเชิง จะเป็นคนนี้อีกไม่ได้
เพราะฉะนั้นจะเป็นคนนี้เฉพาะตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว ทำให้เป็นคนนี้ แต่จากคนนี้ไปแล้วก็ต้องเกิดโดยกรรมหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่า กรรมใดจะให้ผล