ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นความเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง อย่างที่เขากล่าวว่า เรียนธรรมเพื่อให้เข้าใจธรรม แต่ธรรมก็มีหลายอย่าง แล้วเราจะเข้าใจอย่างไร เพราะมีเยอะแยะไปหมด พูดว่า “ให้เข้าใจว่าเป็นธรรม” ดูเหมือนกว้างไปหมด
ท่านอาจารย์ เวลาที่เราจะรู้จักอะไรจริงๆ เราจะรู้จักทีละอย่าง หรือหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นถ้าสัมมาสติไม่เกิด ไม่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งก็เป็นแต่ละอย่าง วิเสสลักษณะอยู่แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า เป็นธรรมจริงๆ เราก็มีความคิดอย่างแบบการศึกษาว่า มันก็เป็นธรรมไปหมด อย่างที่เขาบอกว่า เป็นอนัตตาทั้งหมด แต่ถ้าถามว่า อะไรเป็นอนัตตา เขาก็จะยืนยันว่า ทุกอย่าง แต่เขาไม่บอกว่า ขณะที่สัมมาสติเกิดระลึก จะมีความเข้าใจในสภาพนั้นว่าเป็นธรรมมากแค่ไหน หรือยังไม่มีเลย
ผู้ฟัง คำว่า “สัมมาสติ” ทั่วไปก็เรียกสัมมาสติ ใช่ไหมคะ เพราะบางครั้งก็เรียกสติเฉยๆ
ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงสติเจตสิก ก็เป็นโสภณเจตสิก แต่ทีนี้เวลาใช้คำว่า “สัมมาสติ” ก็หมายความว่าเกิดที่ไหน ถ้าเกิดกับมรรคมีองค์ ๘ แล้วแน่นอน ตามสัมมาทิฏฐิ ใช่ไหมคะ และสำหรับสมถภาวนาก็ต้องเป็นสัมมาเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวโดยชื่อ ก็ใช้คำว่า สติเกิดกับกุศลจิตทุกประเภทได้ แต่เวลาที่เป็นสัมมาสติ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาพวกนี้ต้องหมายความถึงที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ หรือในการอบรมเจริญสมถภาวนา
เรื่องชื่อไม่สำคัญค่ะ แต่หมายความถึงระดับของสติเพิ่มขึ้น อย่างสัญญา ความจำ พอเห็นปุ๊บ เราก็จำได้ว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ไม่ต้องมีวิริยะพิเศษต่างหากร่วมกับการศึกษาพิจารณาให้มากขึ้นเลย แต่เวลาฟังเราต้องมีการไตร่ตรอง ขณะนั้นก็จะต้องมีสัญญาเกิดพร้อมกับวิริยะที่ไตร่ตรองแล้วเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก กับตอนที่สัญญาเกิดพร้อมกับวิริยะตามปกติที่ไม่มีการฟัง ไม่มีการไตร่ตรอง วิริยะ ๒ อันนี้ต่างกันแล้ว
เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีคำหรือมีอะไรที่แสดงโดยกว้างขวางให้รู้ว่า แม้เป็นวิริยเจตสิก แต่กิจการงานหน้าที่ของวิริยะนั้นๆ ต่างกันโดยใช้ชื่อต่างกัน ให้รู้ว่าหมายความอย่างไร อย่างสัมมัปปธาน จะต้องหมายความถึงขณะที่เป็นวิริยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยมรรคมีองค์อื่นๆ เพราะว่าทำกิจ ๔ อย่าง
โดยมากในขณะที่เรากำลังฟัง มีเสียง แล้วมีคิดด้วย เพราะฉะนั้นยากเหลือเกินที่เราจะหนีความคิด แต่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมมีอีกระดับหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่ฟังเข้าใจแล้ว เราจะรู้ว่า ขณะนั้นเวลาที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรม เรื่องวิถีจิตต่างๆ ไม่ต้องคิดเลย เพราะว่าขณะที่กำลังมีเสียงปรากฏ คนที่ชอบหรือยังติดเรื่องการคิด เขาจะคิดว่าเสียงมากระทบ “มา” เลยนะคะ มาอย่างนี้ๆ แล้วก็กระทบกับโสตปสาท แล้วก็มีจิตได้ยิน แต่ว่าตามความจริง นั่นก็คือคิดอีก
เพราะฉะนั้นการที่เราจะรู้ลักษณะของสภาพธรรม เราต้องทราบจริงๆ ว่า เราหยุดคิดไม่ได้ คิดก็เป็นของจริง แล้วก็เป็นธรรมซึ่งปัญญาสามารถเข้าใจได้ว่า ในขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็เป็นลักษณะของความคิดอย่างหนึ่ง คือ คิดเรื่องธรรม ก็เป็นคิดเหมือนกัน เพราะก่อนนี้เราคิดเรื่องอื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรม แต่พอเราเรียนเรื่องจิต เจตสิก เรื่องวิถีจิต เราก็มาคิดเรื่องธรรม
ปัญญาทำให้เราเข้าใจว่า ขณะนั้นเป็นการไตร่ตรอง เป็นความคิดที่จะเข้าใจธรรม แต่ตัวธรรมกำลังคิด ถ้าเราเพียงแต่ฟัง ไม่มีการไตร่ตรองเลย ปัญญาไม่เกิด
เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการฟังแล้ว ทุกคนจะต้องมีการไตร่ตรองด้วย เพราะว่าคนพูดอาจจะพูดประโยคเดียว แต่การไตร่ตรองของเรามากกว่า ๑ ประโยค ไม่ใช่พูดคำนั้นซ้ำอยู่ในใจ แล้วก็จะคิดว่าเข้าใจได้ ใช่ไหมคะ แต่ต้องมีการไตร่ตรองจริงๆ พิจารณาจากที่เราได้เคยฟังมาแล้ว แล้วก็ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ของเราเอง
นั่นก็เป็นเรื่องปัญญาซึ่งเกิดจากการคิด มีปัญญาซึ่งเกิดจากการฟัง แล้วเข้าใจ แล้วมีปัญญาที่แม้ฟังแล้ว เราก็ยังคิดไตร่ตรอง สะสมมาที่จะเข้าใจสภาพธรรมด้วยการคิดถูกอีกอย่างหนึ่ง แต่ทั้ง ๒ อย่างนั้นไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรม ต้องเป็นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งทั่วโลกสนใจมาก อยากถึง อยากทำ อยากปฏิบัติ แต่ไม่รู้หนทางจริงๆ ว่า หนทางจริงๆ ที่จะถึงได้ ไม่ใช่ด้วยความอยาก หรือไม่ใช่ด้วยการไม่รู้อะไรเลย ทำสิ่งที่ถูกบอกให้ทำ แล้วก็เข้าใจหวังว่าปัญญาจะเกิด โดยที่ไม่รู้ว่า ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ปัญญาสามารถรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะว่าเป็นของจริง แล้วก็เกิดด้วย ดับด้วย
เพราะฉะนั้นการที่จะประจักษ์ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมต้องเป็นไปตามลำดับขั้น แม้ว่าสภาพธรรมกำลังเกิดดับ แต่ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะไม่ใช่เราที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่เป็นขณะที่สภาพธรรมปรากฏกับปัญญาที่มั่นคง ที่รู้ว่า นามธรรมมีลักษณะอย่างนี้ และรูปธรรมมีลักษณะอย่างนั้น แล้วไม่ใช่รอหรือหวัง แต่ว่าทุกอย่างแม้แต่วิปัสสนาญาณก็เป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นเราจะถึงวิปัสสนาญาณด้วยความต้องการหรือด้วยความหวังไม่ได้เลย ใครที่ไปนั่งแล้วคิดว่า ตอนนี้รู้แล้วนามธรรมเป็นอย่างนี้ รูปธรรมเป็นอย่างนี้ ค่อยๆ รู้ขึ้น หวังว่าสักครู่หนึ่งหรืออีกวันหนึ่ง นามรูปปริจเฉทญาณจะเกิด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะนั่นเป็นตัวตน แต่เวลาที่วิปัสสนาญาณ หรือสภาพธรรมใดจะปรากฏ ยิ่งแสดงความเป็นอนัตตา ยิ่งเป็นวิปัสสนาญาณยิ่งเป็นอนัตตา ที่ว่าเลือกไม่ได้ว่าจะรู้รูปอะไร จะรู้นามอะไร เลือกไม่ได้ที่จะเกิดขณะไหน ขณะนี้ หรือขณะโน้น หรือขณะไหนก็ได้ แล้วแต่ความสมบูรณ์ของปัญญา
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องละค่ะ ถ้าลืมเรื่องนี้ จะไม่ถึงเลย เพราะเรื่องของปัญญาเป็นเรื่องละทั้งหมด เรื่องของโลภะเป็นเรื่องของการติดทั้งหมด โลภะไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ดูธรรมดา แต่โลภะก็ติดแล้วโดยไม่รู้ตัว
เพราะฉะนั้นโลภะเป็นเรื่องติด แต่ปัญญาเป็นเรื่องละ
เพราะฉะนั้นทรงชี้โทษให้เห็นสิ่งที่เราชอบมากๆ ตลอดชีวิตคือโลภะ ว่าโลภะที่จะต้องละก่อน คือ โลภะที่เกิดร่วมด้วยความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะอะไร เพราะไม่มีอะไรที่เป็นเรา เพราะฉะนั้นก็เป็นความเห็นผิด ซึ่งต้องอาศัยการฟัง เข้าใจ และอบรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ต้องเป็นปัญญาจริงๆ
เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ความต่างของปัญญาขั้นฟัง ปัญญาขั้นพิจารณา และปัญญาพร้อมสติที่เกิด