เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ต้องค่อยๆอบรม
ผู้ฟัง คงเหมือนกับที่บอกว่า กุศลดี อกุศลไม่ดี พออกุศลเกิดด้วยความเป็นตัวตนก็ไม่อยากให้อกุศลเกิด ก็เหมือนกับเราบังคับ พอพูดถึงสติปัฏฐานว่า สติปัฏฐานเป็นหนทางเดียวที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ทุกคนก็เลยอยากให้สติปัฏฐานเกิด ก็เลยถามอาจารย์ทุกทีว่า อันนี้ใช่หรือเปล่า ทำอย่างไรถึงจะเกิด ก็เหมือนกัน เพราะถ้าเราไม่ติดว่า สติปัฏฐานเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่รู้ว่า สติปัฏฐานก็คือสภาพธรรมอันหนึ่ง เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง อันนี้ก็จะทำให้เราลดคลายความเป็นตัวตนมากขึ้น ก็จะสบายขึ้น อย่างที่อาจารย์บอก
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปต้องการสติปัฏฐาน ในเมื่อสติปัฏฐานไม่ได้เกิดเพราะต้องการ แต่ขณะที่กำลังฟัง กำลังสะสมปัจจัยที่จะให้สติปัฏฐานเกิด ถ้าไม่มีความเข้าใจมากขึ้น เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น ลึกขึ้น สติปัฏฐานก็ไม่เกิด
เพราะฉะนั้นไม่ได้ไปต้องการ แต่ขณะนี้กำลังเป็นเหตุที่จะให้สติปัฏฐานเกิด
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์หมายถึงสร้างเหตุไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ ก็เวลานี้ค่ะ ไม่มีตัวเราที่จะสร้างด้วย คือถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา ไม่ว่าจะหันซ้าย มองขวา หยิบนั่น ทำนี่ ทุกอย่างก็คือสภาพธรรมทั้งหมด ขณะที่คิดก็คือสภาพธรรม นามธรรม ขณะที่โลภ ก็คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ขณะที่โกรธ ทุกอย่างหมดในชีวิต
ผู้ฟัง อย่างเรามาสนทนาธรรมกันบ่อยๆ จะเรียกได้ไหมคะว่า เรามาสร้างเหตุให้ดี เพื่อผล
ท่านอาจารย์ ไม่มีตัวเราที่จะสร้าง แค่นี้ก็สบายแล้วค่ะ คือ ถ้าเรามาเข้าใจธรรมแล้วเป็นตัวเราที่จะสร้าง ก็เท่ากับลบที่เราเข้าใจว่า ธรรมเป็นอนัตตา โดยมามีเราที่สร้างเหตุอีก ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยว ถ้าเข้าใจแล้วว่า ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ขณะทุกขณะก็คืออนัตตา เป็นจิต เป็นเจตสิก รูป ก็ไม่ต้องมีเราไปทำอะไรอีก หรือไปทำอะไรเพื่อเราอีก
ผู้ฟัง ถ้าเราศึกษาแล้ว เราไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองเพื่อให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง คือรู้ถึงตัวธรรมที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ประโยชน์ที่ได้ก็ไม่มี จะเป็นการศึกษาเรื่องราวเท่านั้นเองว่า มีจิตมีกี่ดวง เจตสิกมีกี่ดวง
ท่านอาจารย์ ถ้าปัญญาไม่พอ ก็ละเยื่อใยไม่ได้ ยอมไหมคะที่จะจากทุกคน พร้อมหรือยัง เห็นไหมคะ นี่แสดงว่า ปัญญาไม่พอ ต้องเป็นปัญญาที่ถึงระดับที่จะไม่มีเรา คือจากคนอื่นก็ยังมีตัวเราอยู่ แต่นี่แม้เราก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย นอกจากสภาพธรรม
ผู้ฟัง รู้สึกว่าปัญญาที่เข้าใจขั้นนี้ ก็ประเสริฐเหลือเกิน แม้เพียงแต่คิดแล้วคล้อยตามไป ก็รู้สึกเบาแล้วครับ
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นปัญญาที่ไม่ถึงระดับขั้น น่าว้าเหว่นะคะ น่ากลัว น่าใจหาย เวลาที่พ่อแม่จากไป เราก็ใจหาย เพื่อนฝูงจากไป เราก็ใจหาย นี่หมด ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่มีเลย ความจริงคือไม่มีเลย ซึ่งจะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีใครสักคน
เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาบางทีคนอื่นรับไม่ได้ค่ะ เพราะเขายังมีความเป็นตัวตนที่ต้องการ โลภะยังยึดเหนี่ยวเขาไว้ ไม่ยอมที่จะไปง่ายๆ
ที่เราคิดว่าเราโกรธคนอื่นวันหนึ่งๆ น้อยกว่าที่เราเกิดโทสะกับตัวเราเอง เพราะว่าคนอื่นนี่น้อย เราอาจจะไม่ชอบคนโน้นคนนี้นิดหน่อย แต่ตัวเองวันนี้ผมเป็นอย่างไร เล็บเป็นอย่างไร ถ้วยจานเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจะมีความโกรธเกี่ยวกับตัวของเราเองมากกว่าคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรจะรู้ด้วย
ผู้ฟัง ถ้าเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้
ท่านอาจารย์ ง่ายที่จะบอกว่าเป็นนามธรรม เพราะพูดถึงสัญญาก็เป็นนามธรรม พูดถึงปัญญาก็เป็นนามธรรม นี่มันง่าย แต่แล้วมันก็เกิดก็ไม่รู้ในความเป็นนามธรรมว่าเป็นอย่างไรที่ว่าเป็นนามธรรม
เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม เพราะเหตุว่าเป็นธาตุรู้หรือสภาพรู้ลักษณะนั้นๆ ต่างจากรูป ไม่อย่างนั้นปัญญาก็ไม่ต้องเจริญอะไร ก็แค่สติ แล้วก็อยู่ตรงนั้น ก็ไม่รู้อะไรเพิ่มขึ้น
ผู้ฟัง เพราะนามธรรมก็เป็นสภาพรู้ รูปธรรมก็ไม่ใช่สภาพรู้
ท่านอาจารย์ อันนั้นก็ง่ายอีก คือถ้าพูดอย่างนั้น
ผู้ฟัง คือต้องรู้จริงๆ ว่า ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ใช่ชื่อ เป็นลักษณะที่ธาตุชนิดนี้เป็นอย่างนี้ คือ ธาตุรู้ คือลักษณะนี้ที่เป็นธาตุรู้
ผู้ฟัง สมมติว่าเป็นปัญญาแล้ว ที่เกิดขึ้นมากับสติ ก็ไม่ต้องใส่ชื่อเข้าไปเลย คือว่า รู้แล้ว
ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใส่ชื่อก็ยังง่ายอยู่ ใช่ไหมคะ ไม่ต้องใส่ชื่อยิ่งสบาย มีแต่สภาพธรรมที่มีลักษณะนั้น แต่ปัญญาจะเจริญจากการค่อยๆ รู้ลักษณะ แล้วก็รู้ความเป็นธาตุคืออย่างนี้ ความไม่ใช่ตัวตน และลักษณะที่เป็นธาตุรู้ ไม่ใช่อย่างที่เราพูดง่ายๆ ว่าเป็นธาตุรู้ แต่สภาพรู้หรือธาตุรู้คือรู้เท่านั้นจริงๆ ในขณะที่กำลังปรากฏ
นี่เป็นเหตุที่สติต้องระลึก แล้วก็ศึกษา คือค่อยๆ เข้าใจลักษณะนั้น เป็นเรื่องซึ่งแสดงไม่ได้ จะมาทำท่าทางให้รู้อย่างนั้นอย่างนี้ ให้เดินอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แล้วไปรู้สภาพรู้ก็ไม่ได้ แต่เนื่องจากฟังแล้วสติเกิด แล้วถึงจะรู้ว่า เวลาที่สติเกิดความรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมจะมีได้อย่างไร ไม่ใช่มีโดยจำมาว่า เป็นนามธรรม เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่จะต้องค่อยๆ อบรม