แล้วเราอยู่ที่ไหน ๑


    ผู้ฟัง ที่ผมตอบอาจารย์ว่า รูป ผมเข้าใจว่าอาจารย์พูดถึงรูป ๒๘ ผมถึงตอบว่า เสียงเป็นรูป

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องฟังคำถามเพื่อที่เราจะได้ทราบว่า ธรรมดารูป เขาไม่ใช่สภาพที่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น จึงใช้คำว่า “รูป” หรือ “รู – ปะ” ในภาษาบาลี ซึ่งสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในโลกนี้ หรือในจักรวาลนี้แยกออกเป็น ๒ อย่าง โดยเด็ดขาด แยกจากกันเลย ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ไม่รับรู้กันเลย คือรูปที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เพราะไม่รู้เลย แต่จิตเป็นสภาพที่รู้ไปหมดทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดจนตาย ที่ว่าเป็นคุณทรงพลเล็กๆ ๑ ขวบ ๒ ขวบ จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ แท้ที่จริงก็คือจิตทุกขณะที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็รูปนี้เกิดมาพร้อมกับคุณทรงพลจริง ดับไปทุกขณะ ตอนเป็นเด็ก รูปเป็นเด็กก็ไม่เหลือแล้ว แต่รูปของคุณทรงพล ไม่ว่าตอนเด็ก ตอนไหน ก็ตามแต่ ไม่ใช่สภาพที่รู้อะไรเลย แต่อาศัยเหตุปัจจัยเกิด คืออาศัยกรรมทำให้รูปนี้เกิดขึ้น เพราะว่ารูปที่ตัวมีหลายประเภท รูปที่เกิดจากกรรมก็มี รูปที่เกิดจากจิตก็มี รูปที่เกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อนก็มี รูปที่เกิดจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปก็มี ไม่อย่างนั้นเราอยู่ที่นี่ไม่ได้ ถ้ามีแต่เพียงรูปที่เกิดเพราะกรรม เช่น จักขุปสาท โสตปสาท พวกนี้ อยู่ไม่ได้ มีรูปเล็กๆ แค่นั้นอยู่ไม่ได้ ต้องอาศัยรูปที่เกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปทุกวัน ต้องอาศัยรูปที่เกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน ที่สม่ำเสมอ ทำให้ร่างกายอบอุ่น มีชีวิตอยู่ แล้วก็มีรูปที่เกิดจากจิต ทำให้มีการเคลื่อนไหว การพูด การเดิน เป็นรูปที่เกิดจากจิต

    เพราะฉะนั้นก็เอาแต่ส่วนสำคัญๆ ๒๘ ก็ยังไม่ต้องกล่าวถึง เอาที่เราสามารถพิจารณาได้ เห็นได้ เข้าใจได้ว่า รูปอะไรแน่ที่สำคัญจริงๆ

    หมอว่าอย่างไร หมอเห็นด้วยไหมคะ เพราะหมอเป็นหมอ

    ผู้ฟัง เห็นด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ คือถ้าเป็นทางหมอ ก็ต้องมีปอด มีหัวใจสูบฉีดเลือด อะไรต่ออะไรใช่ไหมคะ นั่นเป็นเรื่องราว และก็ไกลมาก เพราะว่าจริงๆ แล้วโลกทั้งโลก อย่าว่า แต่ตัวเราเลย มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ละเอียดยิบ

    ทีนี้ทั้งโลกจักรวาลเกิดเพราะอุตุเท่านั้น ไม่มีจิตใจเข้าไปแทรกอยู่ในโลกนี้เลย แต่ว่าโลกนี้ละเอียดย่อยลงไป แตกสลายยิบยับๆ ละเอียดฉันใด ที่ตัวเราก็อย่างนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันไม่เกี่ยวข้อง ขณะใดก็ตามซึ่งไม่เป็นทางที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นเห็น รูปเขาก็เกิดดับไป เช่นคนที่อาจจะตาบอดด้วย หูหนวกด้วย จมูกไม่ได้กลิ่นด้วย เขามีจิตจริง แต่ไม่มีทางที่จะรับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ถ้าเขาไม่มีตาเห็น ไม่มีหูได้ยิน ไม่มีจมูกได้กลิ่น แต่ทีนี้รูปที่เป็นส่วนสำคัญ คือว่าเกิดดับจริง แต่ระหว่างที่ยังไม่ดับ เขากระทบสัมผัส อย่างจักขุปสาทที่อยู่กลางตา ที่สามารถรับรู้สิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏก็ดับเร็ว จักขุปสาทก็ดับเร็ว แต่อาศัยขณะที่ประจวบกระทบกันโดยยังไม่ดับ ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นชั่วขณะสั้นที่สุด แล้วก็ดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณะต้องหมายความถึงไตรลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นทางวิทยาศาสตร์ก็อาจจะใช้คำ จำเรื่องราวของธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชาที่มีอยู่ในตัวทั้งหมด แล้วก็บัญญัติเป็นปอด เป็นตับ เป็นอะไรก็ตาม แล้วใช้วิชาการทางแพทย์ แต่ว่าจริงๆ แล้วเร็วยิ่งกว่านั้น ก็คือรูปทุกรูปเกิดดับเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นเราไม่รู้ก็เกิดแล้วดับแล้ว แต่ทางตาเห็น แล้วก็ชอบไม่ชอบ ทางหูได้ยิน แล้วก็ชอบไม่ชอบ เพราะฉะนั้นรูป ๕ รูป เป็นรูปภายใน เพราะว่าจิตต้องเกี่ยวข้องกับรูปนี้อยู่ตลอด

    ผู้ฟัง ที่ว่าเกิดดับ คือ เราก็จำที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน หรือเชื่ออาจารย์ไว้ก่อนใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ หมอว่าหมอมีรูปใช่ไหมคะ แล้วหมอจะไม่เชื่อเรื่องเกิดดับ หมายความว่าเชื่อไว้ก่อนเพราะฟังเขามาใช่ไหมคะ หมอว่าอย่างนั้นใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง เชื่ออาจารย์ไว้ก่อนครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ ฟังมาอย่างนี้ และฟังกันต่อๆ มาอย่างนี้ หมอต้องพิสูจน์ด้วยความเข้าใจขั้นต้นว่า เวลาที่เรากำลังเห็น รูปหมออยู่ที่ไหน ที่หมอว่ามี แล้วต้องมาเชื่อก่อนว่าเกิดดับ กำลังเห็น ตัวหมออยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง รู้สึกว่าตัวกระทบกับพื้น

    ท่านอาจารย์ คิดเอาใช่ไหมคะ คือ ก่อนฟังพระธรรม เรามีความเป็นตัวตนเต็มที่ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และทรงแสดงว่า ไม่มีตัวตน มีแต่สภาพธรรมซึ่งเป็นของจริง นามธรรมเป็นธาตุรู้ ธาตุพิเศษซึ่งต่างจากรูปธาตุ เราอาจจะจำแนกรูปธาตุเยอะแยะเป็นอะไรได้หลายอย่าง แต่รูปธาตุทั้งหมด ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นก็มีนามธาตุ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เป็นธาตุที่รู้ คือ สามารถที่จะเห็นได้ คิดได้ อะไรได้ทุกอย่าง เรียกว่าเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ธาตุชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อไร ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะไม่รู้ไม่ได้เลย

    ทีนี้เวลาที่ก่อนฟังธรรม เรามีความเป็นตัวตน ทั้งๆ ที่ตัวตนมันก็ไม่ปรากฏ อย่างเวลาที่เรานั่งฟังอยู่ที่นี่ ปอดไม่ได้ปรากฏ หัวใจก็ไม่ได้ปรากฏ อะไรทั้งหลายก็ไม่ได้ปรากฏ ถ้าทางตา สีสันวัณณะกำลังปรากฏ พอถึงหู แยกออกไป เอาเพียงชั่วขณะ ขณะที่กำลังได้ยิน จะมีขณะอื่นซ้อนขึ้นมาไม่ได้เลย เพราะเป็นชั่วขณะที่เสียงกำลังปรากฏ เวลาเสียงปรากฏก็ต้องหมายความว่า มีสภาพที่รู้ กำลังได้ยินเสียงนั้น มีทั้งเสียงแหลม มีทั้งเสียงดัง มีทั้งเสียง เราอาจใช้คำสมมติ เป็นเสียงนก เสียงรถยนต์ ซึ่งแสดงความต่างของเสียง แต่สภาพรู้เสียงสามารถจะรู้ลักษณะเสียงต่างๆ กันได้ ที่เสียงปรากฏก็แปลว่า ต้องมีจิตซึ่งกำลังได้ยินเสียง กำลังรู้เสียง ขณะที่กำลังเฉพาะได้ยิน ตัวหมอมีที่ไหน ทั้งตัวอยู่ที่ไหน อยู่ตรงไหน ไม่มีเลยค่ะ เพราะว่ามีอากาศธาตุซึ่งแทรกคั่นละเอียดยิบ รูปเกิดดับหมดเลย เร็วมาก รูปใดเกิดแล้วดับ โดยที่จิตไม่เกิด รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ทุกรูปกำลังทยอยกันเกิดดับ โดยที่จิตไม่ได้ไปรู้เลย ขณะที่ได้ยินเสียง จิตรู้แต่เสียง ขณะที่ได้กลิ่น จิตรู้แต่กลิ่น เพราะฉะนั้นความทรงจำของคนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม จึงมีอัตตสัญญา สัญญา แปลว่าความทรงจำ อัตต แปลว่า ตัวตน

    เพราะฉะนั้นเรายังมีความทรงจำว่า ยังมีเรานั่งอยู่ที่นี่ นอนอยู่ที่นั่น ทำอย่างนั้นอย่างนี้ตลอด จนกว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ที่ปรากฏ ทีละ ๑ ประเภท แล้วก็แยกออกจากกันโดยเด็ดขาด แต่เราพูดถึงทีละขณะ ซึ่งอาจจะแบ่งเป็นเสี้ยววินาที แปลว่าแบ่งออกไปอีกมากทางวิทยาศาสตร์ เวลานี้ก็แบ่งออกไปจนไม่รู้ว่ากี่พัน กี่ร้อยของเสี้ยววินาที แต่สภาพของนามธรรม และรูปธรรมเกิดดับเร็วกว่านั้นมาก

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว แล้วจะเป็นตัวหมอได้อย่างไร ไม่ว่าสิ่งที่เราเคยว่าเป็นปอด เป็นหัวใจ เป็นตับ นั่นคือเรื่องราวที่เราจำไว้ แต่ชีวิตคนเราชั่วขณะจิตเดียว จิตจะมีซ้อนกัน ๒ ขณะไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตที่เห็นไม่ใช่จิตที่ได้ยิน นี่ก็แสดงความต่างแล้วว่า เป็นจิตต่างชนิด เกิดเพราะเหตุปัจจัยต่างกัน เป็นต่างประเภท ตัวหมอนั้นไม่มีเลย มีแต่ขณะที่ได้ยิน เป็นจิตได้ยิน หมอก็เข้าใจว่า หมอได้ยิน จึงเป็นตัวหมอ ขณะที่เห็น ก็เป็นจิตที่เห็นชั่วขณะหนึ่ง หมอก็เข้าใจว่า เป็นหมอเห็น ขณะที่ลิ้มรสอร่อยๆ ก็เป็นจิตชั่วขณะหนึ่งซึ่งลิ้มรส หมอก็เข้าใจว่าเป็นหมอ จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงสภาพธรรมชั่วแต่ละ ๑ ขณะ


    หมายเลข 8622
    23 ส.ค. 2567