ปัญญา ๒ ขั้นที่ต่างกัน


    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อมโนทวารวิถีปรากฏก็ต้องมีสติ

    ท่านอาจารย์ วิปัสสนาญาณเท่านั้น ถ้าไม่ถึงวิปัสสนาญาณ มโนทวารไม่ปรากฏเลย ต้องใช้คำว่า “ไม่ปรากฏเลย”

    เพราะฉะนั้นเวลาที่วิปัสสนาญาณเกิด คนนั้นจะรู้เลยว่า เมื่อไรเป็นวิปัสสนาญาณ เมื่อไรไม่ใช่วิปัสสนาญาณ

    ผู้ฟัง นี่ก็หมายความถึงลักษณะของวิปัสสนาด้วย

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ วิปัสสนาญาณ อย่างเมื่อนามรูปปริจเฉทญาณเกิด คนนั้นจะรู้เลยว่า นี่เป็นวิปัสสนาญาณ แล้วหลังจากนั้นจะรู้ว่า เมื่อไรเป็นวิปัสสนาญาณ เมื่อไรไม่เป็นวิปัสสนาญาณ

    ถ้าวิปัสสนาญาณยังไม่เกิด คนก็จะไปคิดสงสัยว่า นี่ใช่วิปัสสนาญาณหรือเปล่า เป็นวิปัสสนาญาณหรือยัง เพราะสติของเขากำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรมเพียงอย่างเดียว ขณะนั้นเขารู้จริงๆ ว่า ลักษณะนั้นเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม แต่นั่นคิด เพราะเหตุว่าถ้าเป็นวิปัสสนาญาณแล้ว ไม่ต้องคิดอย่างนั้นเลย เป็นสภาพธรรมที่มีจริง สิ่งนี้ก็ปรากฏ แต่เราไม่รู้ เรียกว่าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ มีจริงๆ ให้รู้ แต่ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่มี ยังมีอยู่ ถึงแม้ว่าจะคิด ก็ยังมี กำลังคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นถ้วยแก้วหรือเป็นอะไร สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยังมี

    ผู้ฟัง มีแล้ว ทำไมจึงไม่รู้ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่ามีอวิชชา อวิชชาไม่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ แต่ปัญญาไม่ใช่รู้อื่นเลย รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏ หรือเป็นความคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏ ก็เป็นความจริงมาก

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมจึงต้องละเอียดไงคะ สติจึงต้องรู้ทั่ว รู้ชัดว่า แม้แต่เห็น แล้วก็คิดถึงเรื่องสิ่งที่เห็น สภาพที่คิดไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา จะต้องรู้อย่างนี้ แต่เวลาที่บอกว่า มีสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วคิด แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยังปรากฏอยู่ ไม่ทราบคุณบุตรสวงษ์คิดว่าปิดบังหรือเปล่า เพราะว่าขณะกำลังคิด สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยังปรากฏ เพียงแต่ไม่รู้ความจริง

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นคำว่า “บัญญัติปิดบังปรมัตถ์” และอวิชชาปิดบัง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ เพียงแต่ว่าไม่ให้รู้ความจริง เพราะคิดถึง แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นไม่ปรากฏ ถึงเรากำลังคิด สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยังปรากฏ แต่ว่าปัญญาไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คิด

    เพราะฉะนั้นเวลาที่สัมมาสติระลึก หมายความต้องมีลักษณะของสภาพธรรมอย่างธรรมดาขณะนี้ แล้วสติระลึก แล้วสัมมาสังกัปปะก็จรดในลักษณะของนามธรรม ไม่ใช่ไปจรดที่ลักษณะของรูปธรรม หรือว่าถ้าสัมมาสังกัปปะกับสติจะระลึกที่ลักษณะของรูปธรรม ขณะนั้นก็จรดที่ลักษณะของรูปธรรม แล้วอะไรเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ผมอยากบอกว่า ปัญญาเกิดครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะโดยมากถ้าสติของคนนั้นไม่เกิดเลย ไม่เข้าใจเลย เขาก็ไม่สามารถจะรู้ความต่างกันของปัญญา ๒ ขั้น คือ ปัญญาขั้นฟังเข้าใจ แล้วปัญญาขณะที่สติระลึก แต่ถ้าสติระลึกจริงๆ คนนั้นจะรู้เลยว่า การศึกษาไม่ใช่ศึกษาโดยขั้นฟังระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะต้องศึกษาเพื่อจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นจริงๆ ผู้นั้นจะรู้ด้วยตัวเองทุกอย่างว่า คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจริงอย่างนี้ แล้วต้องเป็นอย่างนี้ตามลำดับ

    เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากเข้าใจให้ถูกต้องเรื่องของขณะที่สติเกิด แล้วก็กำลังค่อยๆ ศึกษาเพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม กิจอื่นไม่มีเลย นอกจากกิจญาณ และถ้าเข้าใจจริงๆ แล้ว ก็ไม่มีใครไปทำให้สติปัฏฐานเกิดได้ ต้องเป็นเรื่องของความอดทน และความเป็นผู้ตรงต่อธรรม


    หมายเลข 8645
    23 ส.ค. 2567