ปัญญาขั้นปริยัติ


    คุณศุกล นี่เป็นความคิดของผม คำว่า “ปิดบัง” ผมรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรปิดบังเลย นอกจากความไม่รู้ของเราเอง ทำให้ไม่สามารถเห็นธรรมตามความเป็นจริงได้ จนกว่าจะได้อบรมสะสมสติ และปัญญา ก็จะเห็นตามความเป็นจริงอย่างผู้ที่เห็นแล้ว

    ท่านอาจารย์ ความจริงในขณะนี้ คือไม่ผิดจากปกติ เวลานี้เห็นเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น จะผิดจากขณะนี้ไม่ได้เลย ที่กล่าวว่า ทางตาที่กำลังสว่าง หรือทางปัญจทวารทางอื่นทั้งหมด ไม่ว่าทางหูที่เสียงกำลังปรากฏปิดบังมโนทวาร เพราะเหตุว่าเรารู้ว่า มโนทวารเกิดต่อทุกวาระของการเห็น หรือทุกวาระของการได้ยิน แต่ทำไมสภาพล้วนๆ ของมโนทวารจึงไม่ปรากฏเลย ใช่ไหมคะ ทางตามีสีปรากฏ สักครู่หนึ่งมีเสียงปรากฏ กระทบแข็ง เอาแข็งปรากฏ แล้วลักษณะของมโนทวารล้วนๆ ซึ่งเกิดต่อจากทางตา ทางหู เหล่านี้ไม่เห็นปรากฏ เพราะทางนี้ทางตาปรากฏ เอาเสียงปรากฏ เอาแข็งปรากฏ

    นี่แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมตามความเป็นจริงคืออย่างนี้ ไม่ได้ผิดปกติเลย เพราะฉะนั้นปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่เปลี่ยน ลักษณะนี้ยังเป็นอย่างนี้ แล้วสำหรับผู้ที่เริ่มเข้าใจ แล้วก็เริ่มระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ผู้นั้นก็จะรู้ว่า ขณะใดที่สติเกิด สติมีลักษณะอย่างนี้ กำลังระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติอย่างนี้ และปัญญาในขั้นต้นยังไม่สามารถจะรู้ชัด แน่นอนที่สุดค่ะ เหมือนกับมีดยังไม่คม แล้วเราก็ต้องลับมีดจนกว่ามีดนั้นจะคม ถ้ามีดคมแล้วไม่ต้องลับ ถ้ารู้แล้วไม่ต้องระลึกใช่ไหมคะ แต่เพราะเหตุว่าไม่รู้ จึงต้องระลึกแล้วก็ไม่รู้อีก แล้วก็ระลึกอีก แล้วก็ไม่รู้อีก

    คำว่า “ไม่รู้” ที่นี่ หมายความว่า ความรู้ขั้นปริยัตินี่มี ตอบกันได้หมดว่า ทางตากำลังเห็นเป็นสภาพรู้ แล้วสีเป็นสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ แต่เวลาสติระลึกจริงๆ ไม่สามารถรู้ได้ว่า ธาตุรู้ หรืออาการรู้ หรือเพียงลักษณะรู้ ซึ่งไม่ใช่เรา ลักษณะของธาตุรู้จะต้องเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเพียงเกิดขึ้น แล้วจริงๆ ก็ดับด้วย เกินกว่าที่เราจะไปยับยั้งได้

    นี่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าที่จะได้ประจักษ์ความจริง แล้วก็ทรงแสดงให้เราเข้าใจว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เว้นไม่ได้เลย ทุกอย่างรวมทั้งการเห็นขณะนี้ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงที่นี่ คือ ดับทันที ไม่ใช่เราจะต้องมานั่งคิดว่า ไม่เที่ยง เมื่อตาเราบอดไป หรืออะไรอย่างนั้น แต่ขณะนี้กำลังเกิดดับ แต่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นอวิชชามากมายสักแค่ไหน ก่อนอื่นต้องเห็นอวิชชาของตัวเอง และต้องรู้ว่า อวิชชานี้จะละได้ก็ต่อเมื่อปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น โดยสติระลึก เพราะว่าปัญญาขั้นปริยัติทั้งหมด ฟังเท่าไรก็อยู่แค่นั้นแหละ คือ ทางตาก็เป็นธาตุรู้ และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นแต่เพียงสีสันวัณณะต่างๆ ก็อยู่แค่นี้ ไม่ไปไหน นั่นคือปัญญาขั้นปริยัติ จะเจริญมากมาย ๗ คัมภีร์ กี่อรรถกถาก็ตามแต่ ก็จะอยู่เพียงเท่านี้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมมีจริงๆ กำลังทำการงาน สภาพธรรมทุกอย่างเกิดขึ้นทำการงาน เห็น ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ กำลังทำกิจเห็น มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้จิตเห็นทำหน้าที่เห็น เสียงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็เกิดขึ้น แล้วจิตได้ยินก็มีหน้าที่ เกิดขึ้นได้ยินเสียงที่กำลังปรากฏที่มีในขณะนี้

    นี่คือกิจการงานหน้าที่ต่างๆ


    หมายเลข 8647
    23 ส.ค. 2567