อยากฟังธรรมเป็นกุศลหรืออกุศล


    ท่านอาจารย์ อย่างพวกเราก็เป็นผู้เห็นคุณของพระธรรม แม้ว่าชีวิตประจำวันของเราจะตื่นขึ้นมา แล้วเดินทางมาเที่ยวน้ำตก เราก็ยังมีการสนทนาธรรมกับการฟังธรรม

    นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่า เราเห็นความสำคัญ และเห็นพระคุณของพระธรรม แต่อีกสิ่งหนึ่งซึ่งอาจจะเตือนเราด้วย คือ การเคารพในธรรม เพราะว่าการเคารพในธรรม หมายความว่าต้องเป็นผู้ที่พิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ยิ่งขึ้น และประพฤติปฏิบัติตามด้วย นี่คือการเคารพในพระธรรม

    ผู้ฟัง การฟังธรรมด้วยการเคารพนี้ ไม่ใช่ฟังด้วยความประคองมือ หรือฟังให้เข้าใจแล้วก็เป็นการเคารพในธรรมไหมครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจุดประสงค์นี่ นั่ง หรือนอน หรือยืน หรือเดินด้วยความเคารพ คือ การฟังเพราะเห็นคุณประโยชน์จริงๆ ต้องการฟังเพื่อเข้าใจจริงๆ

    อันนี้แล้วแต่การสะสมนะคะ เพราะดิฉันอนุโมทนาคนที่แสดงความเคารพด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยความนอบน้อมว่าเขาสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องขัดเกลาในชีวิตมีมาก บางคนกายดี วาจาไม่ดี ใจไม่ดี บางคนวาจาดี กายไม่ดี ใจไม่ดี บางคนใจดี แต่กายไม่ดี วาจาไม่ดี เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ ก็ต้องขัดมากนะคะ

    ผู้ฟัง ขอถามว่า เริ่มต้นนั้นก็รู้ว่า ต้นไม้ แล้วก็รู้ว่า ต้นไม้นั้นชื่ออะไรอีก แล้วก็รู้ตลอดสภาพธรรม จะถามว่ารู้สภาพธรรมแล้ว รู้อะไรอีก

    ท่านอาจารย์ มีอะไรอีกคะนอกจากสภาพธรรม แต่ว่าสภาพธรรมมีหลายอย่าง ไม่ใช่มีแต่ทางกายที่กระทบ หรือทางตาที่เห็น ต้องทั้งจิต เจตสิก รูป และสภาพธรรมสุดท้ายที่จะต้องประจักษ์แจ้งก็คือพระนิพพาน

    ผู้ฟัง ต้นไม้กำลังแสดงธรรม และตั้งใจฟัง เป็นธรรมได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ธรรมมีอยู่แล้ว ทั้งกุศล และอกุศล ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ธรรมที่เป็นรัตนะที่นำมาซึ่งความปลื้มใจเหนือรัตนะอื่นใด อย่างเราจะได้แก้วแหวนเงินทองก็ยังไม่ปลื้มใจเท่ากับได้ความรู้ความเข้าใจในพระธรรม

    เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นรัตนะก็ต้องเป็นสรณะ คือ เป็นที่พึ่ง ที่ทำให้เราสามารถพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

    เพราะฉะนั้นในขณะที่ฟังนี้เป็นการฟังปริยัติ เพื่อที่จะให้ประพฤติปฏิบัติตามหนทางที่จะทำให้ถึงนวโลกุตตรธรรม

    เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นพรหมบุคคล หรือคนที่มีอิทธิฤทธิ์ มีความสงบเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าไม่รู้หนทางที่ทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ผู้ที่เห็นพระคุณของพระธรรมก็คือรู้ว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้นทำให้เราเกิดปัญญาด้วยตัวของเราเองที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้

    ผู้ฟัง คุณจาวาก็บอกว่า ฟังธรรมแล้วก็มีปีติ แต่โลภะหรือไม่โลภะก็ไม่รู้ แต่ก็มีปีติในการฟังธรรม แล้วอยากฟังธรรมบ่อยๆ อย่างนั้นติดในตัวอีกหรือไม่ อยากฟังธรรมบ่อยๆ อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นการที่เราจะเห็นพระกรุณาคุณที่ทรงแสดงธรรมให้เราพิจารณาโดยละเอียด ไม่มีใครสามารถรู้จิตใจของคุณจาวาได้ หรือจิตใจของคนที่กำลังพูดเอง ก็เกิดดับสลับกันเร็วมาก ต้องอาศัยการเจริญสติปัฏฐานซึ่งประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๕ จริงๆ คือไม่ใช่มีแต่สัมมาสติเท่านั้น ยังต้องมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาทิฏฐิ ที่จะรู้ว่า เฉพาะในขณะนั้นจริงๆ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าถ้าในขณะที่กำลังฟังแล้วปีติในธรรม ชั่วขณะนั้นเป็นกุศลแน่นอน แต่ขณะที่มีความอยาก ไม่ว่าจะอยากในอะไรทั้งสิ้น ลักษณะที่อยากเป็นลักษณะที่ติดข้อง แต่ถ้าเราฟังธรรมต่อไปด้วยศรัทธา ขณะนั้นไม่ใช่ด้วยความอยาก

    ผู้ฟัง คุณจาวาก็บอกว่าอยากฟังธรรมให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ต้องแยกนะคะ ขณะที่ฟังเวลานี้ ทุกคนฟังแล้วไม่ต้องอยาก ใช่ไหมคะ กำลังฟัง ไม่ใช่อยากฟัง กำลังฟังอยู่

    ผู้ฟัง คุณจาวาก็ยอมรับว่า อยากจะฟังธรรมก็เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าปัญญาเกิดขณะใด จะไม่มีโอกาสของอกุศลเลย เช่นขณะที่กำลังฟัง หรือขณะที่แม้ไม่ได้ฟัง แต่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรม ต่างกับขณะที่อยากมีสติ

    เพราะฉะนั้นลักษณะของกุศลจิตกับอกุศลจิตต่างกันนะคะ เวลากุศลจิตเกิด เรานึกที่จะทำกุศล ขณะนั้นไม่ใช่เราอยากทำกุศล

    ผู้ฟัง เรานึกว่าทำกุศล

    ท่านอาจารย์ เราคิดจะทำกุศล ไม่ใช่เราอยากทำกุศล

    ผู้ฟัง แล้วก็เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ ขณะที่คิดทำกุศล ขณะนั้นเป็นกุศล เพราะคิดทำกุศล แต่ขณะที่อยากทำกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศล


    หมายเลข 8650
    23 ส.ค. 2567