บารมีต้องเป็นเรื่องขัดเกลา


    ผู้ฟัง เมื่อวานนี้ที่ถามเรื่องทานมี ๓ ขั้น ที่ประกอบด้วยปัญญา และไม่ประกอบด้วยปัญญา ยังไม่ค่อยเข้าใจ ปัญญาเชื่อกฎของกรรมก็ได้ใช่ไหมคะ ถ้าเราให้ทานโดยเชื่อว่าผลของทานมีจริง จะให้เป็นผลเป็นสุขจริง แล้วให้ทานไป อย่างนี้ก็เป็นทานที่ประกอบด้วยปัญญาเหมือนกัน ใช่ไหมคะ แต่ยังไม่ใช่ทานบารมี ใช่ไหมคะ ที่ให้ไปเพราะรู้ว่าผลของทานมีจริง และจะให้เป็นสุขอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าถามว่าเป็นบารมีหรือไม่เป็นบารมี ก็ต้องเข้าใจ และไม่ลืมว่า บารมีหมายถึงธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง คือ การดับกิเลส แม้แต่ในขณะที่ให้ทาน ถ้าให้ทานเพราะหวังผล ขณะนั้นก็ไม่ใช่บารมี เพราะเหตุว่าผลที่ต้องการไม่ใช่การดับกิเลส

    พิจารณาได้ง่ายนิดเดียวค่ะ กุศลใดๆ ที่ทำไป มีการหวังผลอย่างหนึ่งอย่างใดหรือเปล่า ถ้าเป็นการหวังผลที่จะต้องเกิดดี เป็นเศรษฐี มั่งมี มีความสุข มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ ขณะนั้นความคิด ความหวัง ความต้องการนั้นจะเป็นบารมีไม่ได้

    เพราะฉะนั้นตอนที่ท่านสุเมธดาบส ท่านได้พบพระทีปังกร และท่านตั้งความปรารถนา และท่านพิจารณาหาธรรมที่จะเป็นอุปกรณ์สำหรับการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็พบว่าต้องมีบารมี ๑๐ หลังจากนั้นแล้วท่านก็กระทำ ไม่ใช่ท่านจะทำ

    ขอให้ลองพิจารณาดูถึงที่ไม่มีปัญญา เพียงแต่ได้ยินคำว่า “บารมี” อยากมีอีกแล้ว เหมือนได้ยินคำว่า “นิพพาน” ก็อยากไปนิพพาน อยากถึงนิพพาน อยากอยู่ในนิพพาน แล้วแต่ว่าจะคิดอย่างไร แต่ว่าไม่ใช่ปัญญาเลยถ้าคิดอย่างนั้น เช่นเดียวกับบารมี พอได้ยินว่าเป็นสิ่งดีก็อยากจะมีแล้ว แล้วก็อยากจะทำด้วย แต่การเป็นบารมีกับการ จะ ทำบารมี ลองพิจารณาดูว่า เพียง ๒ อย่างจะมีความต่างกันหรือเปล่า คนที่ในขณะนี้เข้าใจเรื่องธรรม เข้าใจเรื่องการอบรมเจริญปัญญา เข้าใจเรื่องอริยสัจจะ เข้าใจเรื่องการจะต้องรู้แจ้งอริยสัจธรรม แล้วก็ทำ ทำทุกอย่าง ด้วยความเคารพในธรรม ซึ่งความเคารพในธรรมในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า ไปไหว้พระไตรปิฎกในตู้ หรืออะไรอย่างนั้น แต่หมายความว่าทุกอย่างที่ทำเพื่อธรรม ไม่ใช่เพื่อตัวเอง หรือไม่ใช่เพื่อหวังผลในสังสารวัฏฏ์

    เพราะฉะนั้นที่กำลังทำอยู่เพื่อธรรม เป็นบารมี ที่จะถามว่า ทานเป็นบารมีหรือไม่เป็นบารมี ก็ไม่ต้องมานั่งสอบนั่งถามอีกแล้วว่า ทานตอนนี้เป็นบารมีหรือเปล่า หรือทานตอนโน้นเป็นบารมีหรือเปล่า ถ้ามีความเข้าใจถูกแล้วไม่หวังผลอื่น ไม่หวังผลการเกิดในสวรรค์ หรือไม่หวังผลอะไรทั้งนั้น แต่ทำ เพราะเหตุว่าเป็นกุศล เป็นสิ่งที่จะทำให้อกุศลค่อยๆ ลดลงไปได้ และถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ปัญญานั้นก็จะทำให้บารมีอื่นๆ เกิดด้วย ไม่ใช่เมื่อมีความเข้าใจแล้ว ความเข้าใจนั้นก็อยู่เฉยๆ เกียจคร้าน หรืออะไรอย่างนั้น ไม่ใช่นะคะ ปัญญา ความเข้าใจจะทำให้กุศลอื่นๆ เจริญขึ้น แล้วบารมีอื่นๆ ก็เจริญขึ้นด้วย โดยเป็นอุปนิสัย แล้วก็เป็นการกระทำที่เกิดจากการสะสม อย่างพระโพธิสัตว์ ทุกๆ ชาติของท่าน หลังจากท่านเป็นท่านพระสุเมธดาบสแล้ว ถ้าอ่านชาดก จะเห็นว่า ท่านทำ ไม่ใช่คิดว่าท่านจะ แต่ท่านทำ

    เพราะฉะนั้นเวลาที่ “จะ” ดูเหมือนจะมีความหวังหรือแฝงไว้ด้วยความต้องการ ที่อยากแล้วที่จะทำ แต่ตรงกันข้ามไม่ต้องคิดว่าจะทำทานบารมี จะทำศีลบารมี หรือจะทำวิริยบารมี แต่ชีวิตตามความเป็นจริงที่กำลังทำอยู่ เป็นบารมีเมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วก็ไม่หวังผลอย่างอื่น อย่างเวลาที่ให้ทาน ไม่จำเป็นต้องมาคิดว่า ถ้าไม่ทำกับพระภิกษุสงฆ์ อานิสงส์อาจจะน้อย หรือถ้าไม่ทำกับพระภิกษุสงฆ์แล้วจะไม่ใช่บารมี หรืออะไรอย่างนั้น แต่เมื่อถึงเวลาที่ทานกุศลเกิด จิตผ่องใสมีศรัทธา มีสติ มีอโลภะ มีอโทสะ มีตัตตรมัชฌัตตตาพวกนี้ที่เป็นโสภณสาธารณเจตสิกเกิด ขณะนั้นกุศลจิตเกิด ให้ทาน โดยไม่ต้องคิด ไม่ใช่ก่อนจะให้ก็คิดว่า นี่เป็นบารมีหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่บารมีก็ไม่ทำ อย่างนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะถามว่า เป็นบารมีไหม หรือไม่ใช่บารมี ในขณะนั้นจะแฝงที่ว่า ถ้าไม่ใช่บารมี จะทำหรือเปล่า แต่ที่จริงตลอดทุกชาติของพระโพธิสัตว์ที่ท่านมีการให้ทาน ไม่ว่าในชาติใดๆ ก็ตาม ถึงแม้ไม่ใช่ในชาติที่ท่านเป็นพระเวสสันดร การให้แต่ละครั้งของพระองค์ก็เป็นทานบารมี ถ้าไม่มีการให้อย่างนี้ การให้อย่างอื่น โอกาสอื่น ขณะอื่นจะมีได้ไหม และไม่จำเป็นต้องเลือกให้เฉพาะที่ได้อานิสงส์มากๆ นะคะ คำนึงถึงประโยชน์ของผู้รับ แล้วทำ ไม่ใช่คำนึงถึงตัวเองว่าจะได้กุศลเยอะๆ แล้วถึงจะทำ

    นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความต่างกัน ถ้าเป็นบารมีจริงๆ ก็ขัดเกลา ไม่ได้หวังประโยชน์ของตนเอง ไม่มีการคิดเพื่อตัวตน เพราะตัวตนต้องเล็กลงทุกที จนกระทั่งไม่เหลือเลย

    เรื่องของบารมี ไม่ใช่เราต้องมานั่งคิดว่า ขณะไหนเป็น ขณะไหนไม่เป็น เมื่อเรามีความเห็นถูกแล้วเรารู้ว่า อกุศลของเรามาก แล้วทุกครั้งที่เราทำกุศล เรารู้ว่ากุศลเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับอกุศล และกุศลนี้วันหนึ่งจะทำให้เราถึง ไม่อย่างนั้นเราจะทำกุศลทำไม ซึมเข้าไปในจิตใจของเราโดยที่เราไม่นึก อย่างวันนี้ที่เรามาจากกรุงเทพ แล้วก็มาสนทนาธรรม มีใครคิดว่าทำให้เป็นบารมี แต่ขณะที่เรากำลังทำทั้งหมดนี้เป็นบารมี


    หมายเลข 8663
    23 ส.ค. 2567