อย่าพอใจเพียงแค่สงบ


    เวลานี้มีการฟังพระธรรม ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นเป็นกุศลแน่นอน ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นสงบจากอกุศล รู้ลักษณะของจิตที่สงบในขณะนี้ไหมคะ เพียงแต่รู้โดยการฟังว่าเป็นกุศล แต่จิตที่มีสภาพที่สงบจากอกุศลจริงๆ ลักษณะนั้นไม่ได้ปรากฏ เพราะว่าสติสัมปชัญญะไม่ได้ระลึกที่สภาพของจิตที่เป็นกุศล

    เพราะฉะนั้นเราจะเรียนเรื่องกุศลจิตหรืออกุศลจิต เรารู้ตามชื่อ แต่พอถึงเวลานี้จริงๆ ปัญญา และสติสัมปชัญญะไม่ไว ไม่คมพอที่จะรู้ความต่างกันของกุศลจิต และอกุศลจิต แต่โดยการฟังรู้ว่า มีแน่ ทั้งกุศลจิต และอกุศลจิต ถ้ากุศลจิตมีมาก ขณะนี้ไม่มีการเห็น การได้ยิน ที่จะทำให้กุศลนั้นมีอยู่เรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้นคนที่เขาจะทำสมถภาวนา เขาต้องเห็นโทษของโลภะ เพราะเหตุว่าวันหนึ่งๆ จิตเป็นโลภะเวลาที่เห็น เวลาที่ได้ยิน น้อยครั้งที่จะเป็นโทสะ โลภะนี่เป็นเจ้าเรือน ด้วยเหตุนี้สมถภาวนาจึงระงับ บรรเทา ละคลายโลภะในวันหนึ่ง ด้วยการที่ไม่ต้องเห็น พวกที่ทำฌานที่จะให้สงบมากๆ เขาต้องการบรรลุถึงกุศลขั้นที่ไม่เห็นเลย เพราะรู้ว่าเห็นแล้วใจหวั่นไหว ไม่ให้ได้ยินเลย ไม่ให้ได้กลิ่น ไม่ให้ลิ้มรส ไม่ให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ให้ถึงอัปปนาสมาธิจึงจะเป็นอย่างนั้นได้

    นี่เป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด เพราะฉะนั้นเวลาที่จะเจริญสมถภาวนา เริ่มต้นอย่างไร ใช่ไหมคะ เริ่มต้นด้วยสติสัมปชัญญะที่สามารถแยกลักษณะของจิตที่เป็นกุศลว่าต่างกับลักษณะของจิตที่เป็นอกุศล ไม่ใช่ในตำรา แต่เป็นขณะที่อกุศลจิตกำลังเกิดหรือกุศลจิตกำลังเกิด เท่ากับว่าในขณะนี้สามารถจะมีสติสัมปชัญญะที่จะรู้ว่า กุศลเกิดขณะที่กำลังเข้าใจ พอเห็นผีเสื้อ อกุศลเกิด เพราะว่าสวยดีหรือว่าชอบ

    นี่ค่ะ สามารถแยกอารมณ์ทางตา ทางใจ ทางหู ทางใจ ออกได้ เพียงแต่ปัญญาขั้นสมถะไม่สามารถจะรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงชั่วขณะจิตซึ่งมีนามธรรมเป็นอารมณ์ หรือมีรูปธรรมเป็นอารมณ์

    เพราะฉะนั้นปัญญาขั้นสมถะ ไม่ใช่ปัญญาขั้นต่ำๆ แต่ต้องเป็นปัญญาที่เห็นโทษของโลภะซึ่งมีมากในวันหนึ่งๆ และคิดถึงวิธีที่จะให้กุศลจิตเกิดติดต่อกันโดยที่สามารถไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    เวลานี้ถ้าใครจะเจริญสมถภาวนา หมายความว่าสติสัมปชัญญะสามารถรู้ลักษณะของจิต นี่คือการตั้งต้น และที่ๆ ทำสมาธิกัน รู้อย่างนี้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้ก็ไม่ใช่ค่ะ แล้วเราจะไปบอกเขาอย่างไร เพราะว่าเขาไม่ได้อยากเข้าใจ เขาอยากทำ

    ทีนี้เรารู้ว่า จะต้องมีสติสัมปชัญญะ รู้ลักษณะของกุศลจิต และอกุศลจิต ใช่ไหมคะ ขั้นสมถะนะคะ แล้วเรารู้ด้วยว่าเป็นนามธรรม และรูปธรรม ไม่ดีกว่าหรือคะในขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดแล้วก็มีจิตเป็นอารมณ์อยู่แล้ว แล้วยังสามารถจะพิจารณาว่า ลักษณะนั้นเป็นสภาพรู้เท่านั้น ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง เรื่องอะไรจะไปหยุดแค่ นี่เป็นกุศลแล้วนั่นเป็นอกุศล แล้วให้กุศลเท่านั้นที่เจริญ โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นนามธรรม ไม่ใช่เรา โดยที่ปัญญาเรารู้อยู่แล้ว ทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนาปราศจากสติสัมปชัญญะไม่ได้ เมื่อปราศจากสติสัมปชัญญะไม่ได้ ก็ต้องมีนาม คือมีจิตเป็นอารมณ์ แต่ว่าสมถภาวนาไม่รู้ว่า ลักษณะนั้นไม่ใช่ตัวตน สมถภาวนาเพียงแต่รู้ว่า สภาพของกุศลจิตสงบ สภาพของอกุศลจิตไม่สงบ แต่วิปัสสนาภาวนา อกุศลจิตก็ไม่ใช่เรา ลักษณะที่ไม่สงบก็ไม่ใช่เรา กุศลจิตที่สงบก็ไม่ใช่เรา แล้วเรื่องอะไรเราจะไปหยุดอยู่แค่ให้มีแต่กุศลเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่า ไม่ใช่เรา ในเมื่อเราเข้าใจแล้ว

    เพราะฉะนั้นผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ก็รู้ประโยชน์ว่า การเข้าใจลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมย่อมดีกว่าเพียงสงบ ไม่ใช่ช่วงนี้เรามาทำสมถภาวนากัน เพราะว่ากุศลจิตไม่เกิด แล้วอีกช่วงหนึ่งเราไปทำสติปัฏฐานกัน ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ


    หมายเลข 8664
    23 ส.ค. 2567