สภาพธรรมขณะนี้เป็นเครื่องวัดความเข้าใจ
คุณโจนาธาน ที่อาจารย์ว่า ความแข็งเป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับตลอดไป ต้องรู้
ท่านอาจารย์ เป็นความจริงหรือเปล่า ก่อนอื่นต้องไล่เรียงตั้งแต่ต้น จริงหรือเปล่า
คุณโจนาธาน ขณะนี้
ท่านอาจารย์ ถามว่าแข็งเกิดถึงได้ปรากฏ ถ้าไม่เกิดไม่ปรากฏ นี่จริงหรือเปล่า อะไรก็ตามที่ไม่เกิดจะปรากฏไหม อะไรก็ตามที่ปรากฏ หมายความว่าต้องเกิดจึงได้ปรากฏ นี่คือความจริง
เพราะฉะนั้นปัญญารู้จริงทุกอย่าง ตามความเป็นจริง
คุณโจนาธาน รู้ลักษณะของแข็งเมื่อปรากฏ กับรู้ว่าเกิดดับ ไม่เหมือนใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญาต่างขั้น เพราะฉะนั้นปัญญาขั้นแรกไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับได้เลย เพราะไม่เคยรู้ลักษณะของนามธาตุรูปธาตุเลย เพียงแต่ได้ยินได้ฟังว่า มี มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ลักษณะของธาตุก็ไม่ได้ปรากฏ
เพราะฉะนั้นวิปัสสนาญาณจึงมีหลายระดับ ต้องเป็นตามลำดับขั้นด้วย จะไปประจักษ์การเกิดดับก่อนก็ผิด ใครที่เขาไปพยายามดูนามดูรูป เพื่อจะประจักษ์การเกิดดับ และเขาบอกว่าประจักษ์แล้ว ก็รู้ว่าคนนั้นผิด
ผู้ฟัง เป็นไปได้ไหมว่า บางคนคิดว่านั่นเป็นสติปัฏฐาน แล้วคิดว่าถูก แต่ความจริงแล้วเป็นการเข้าใจผิด
ท่านอาจารย์ เยอะเลย เขาใช้ชื่อสติ แต่ความจริงเขาไม่รู้ลักษณะของสติ ใช้คำว่า “ใช้ปัญญา” โดยที่ไม่รู้จักปัญญาเลย แต่บอกให้ใช้ปัญญา แล้วปัญญาที่ไหน
ผู้ฟัง ถ้าสมมติตัวเองก็แล้วกันนะคะ บางครั้งก็คิดว่า สติปัฏฐานเกิดแล้ว โดยการเข้าใจผิดจากการฟัง
ท่านอาจารย์ การฟังถึงต้องฟังให้เข้าใจ ไม่ให้มีความสงสัย ไม่ให้มีความเข้าใจผิด อย่างสติ ไม่ใช่สมาธิ เห็นไหมคะ เรารู้เลยว่า ใครปฏิบัติผิด เขาเอาสมาธิเป็นสติ แล้วเขาไปแปะชื่อเอาไว้ว่า นี่เป็นสติ แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะว่าสมาธิมีลักษณะที่จดจ้อง จดจ่ออยู่ที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียว แต่สติไม่ใช่ลักษณะของสมาธิเลย สติเป็นสภาพซึ่งโดยการศึกษา เราทราบว่าเป็นโสภณสาธารณเจตสิก เกิดเฉพาะกับโสภณจิต เพราะฉะนั้นเกิดกับกุศลทุกระดับ ตั้งแต่ทาน ศีล สมถะ วิปัสสนา
เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานก็คือขณะที่มีสภาพที่ระลึกลักษณะที่กำลังปรากฏตามปกติ จากการฟัง อย่างหลงลืม ไม่เคยระลึกเลย ไม่เคยเกิดเลย แต่พอฟังแล้วมีการระลึกคืออย่างไร คือ เริ่มค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งสภาพธรรมมี ๒ อย่าง นามธรรมกับรูปธรรม
เพราะฉะนั้นขณะใดที่รู้ว่า กำลังเห็น เดี๋ยวนี้เห็นมี กำลังเห็น และเห็นไม่มีรูปร่างอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เห็นคือสภาพที่สามารถจะมองเห็น หรือเห็นได้ นี่เป็นกิจหน้าที่ของธาตุชนิดนั้น ซึ่งธาตุนั้นไม่มีรูปร่างเลย ค่อยๆ เข้าถึงความเป็นนามธรรม นั่นคือสติปัฏฐาน เพราะมีสภาพธรรมปรากฏ แล้วเริ่มค่อยๆ เข้าใจ ถ้าไปถามคนอื่นว่า นี่เป็นสติปัฏฐานหรือเปล่า ถ้าเขาบอกว่าไม่ใช่ แต่ขณะนั้นกำลังค่อยๆ เข้าใจสภาพที่มีจริงๆ ถ้าอีกคนบอกว่าใช่ ใช่หรือไม่ใช่ ไมใช่อยู่ที่คำของเขา แต่อยู่ที่ความจริงว่า ขณะนั้นมีสภาพธรรม แล้วทำไมเราเคยหลงลืมบ่อยๆ แต่ขณะนั้นกำลังค่อยๆ จะเข้าใจลักษณะที่มีจริงๆ นั่นคือสติปัฏฐาน
เพราะฉะนั้นถ้าโดยชื่อ ก็ใช้กัน สติปัฏฐาน สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม อะไรก็ไม่รู้ แต่ตามความจริงคือมีสภาพธรรมเดี๋ยวนี้หรือเปล่า ปกติก็หลงลืม แต่ตอนนี้กำลังค่อยๆ เข้าใจ ลักษณะที่รู้ มี แข็งถึงได้ปรากฏ ลักษณะรู้ ถึงแม้ว่า ครั้งแรก ๒ – ๓ ครั้งแรก ๒ – ๓ ปีแรก ๒ – ๓ อะไรก็ได้ ที่ระลึกแล้วยังไม่ชัด ก็คือจากการจับด้ามมีดทีละ ๑ ขณะ ก็จะทำให้ด้ามมีดสึกได้
เพราะฉะนั้นปัญญาที่เกิดขึ้นทีละครั้งก็ทำให้ถึงความสมบูรณ์ เพราะเหตุว่าต้องมีความมั่นคง มั่นใจว่า ปัญญาจะต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น ถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏ หมดไปแล้ว หรือยังไม่เกิด ปัญญาไม่สามารถจะรู้ได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงขณะนี้ ก็ทำให้เราเข้าใจถึงปฏิจจสมุปปาท ไม่เข้าใจ นั่นคืออวิชชา อยู่ที่ไหน อวิชชาต้องเกิดกับจิต ไปเกิดกับรูปไม่ได้ ขณะใดที่ไม่เข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรม ขณะนั้นคืออวิชชา
ยิ่งเรียนละเอียด เรายิ่งรู้ ขณะไหนเป็นอกุศล ขณะไหนเป็นวิบาก วิบากจิตไม่มีอวิชชาเจตสิกเกิดร่วมได้ แต่ว่ามีอวิชชานุสัยอยู่ในจิตที่เกิด
ความเข้าใจของเราละเอียดขึ้นๆ ก็ทำให้เราเริ่มอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ความจริง โดยไม่ไปติดในเรื่องราว ในตัวหนังสือ แต่รู้ว่า ถ้าเราอ่านมากด้วยความเข้าใจ อันนั้นเป็นประโยชน์ ต้องเป็นความเข้าใจ และเห็นประโยชน์
เป็นเรื่องอดทน เป็นเรื่องกาลเวลาที่ใช้คำในพระไตรปิฎกว่า “จิรกาลภาวนา” ยิ่งดูประวัติของท่านที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านอบรมมานานมาก แต่เราไม่ต้องห่วงค่ะว่า เรานานเท่าไรแล้ว คือ เดี๋ยวนี้เป็นเครื่องวัดปัญญาตามความเป็นจริงว่า สามารถจะเข้าใจปรมัตถธรรมขณะนี้ ตัวลักษณะ ไม่ใช่เรื่องราว เพราะว่าทั้งหมดทุกขณะเป็นปรมัตถธรรม