ความดีคือการสละ
บารมี คือ ความดีที่จะทำให้ถึงฝั่ง คือ การดับกิเลสได้โดยต้องมีปัญญาเป็นหัวหน้า แต่ถ้าตราบใดยังไม่มีปัญญาเป็นหัวหน้า แต่เป็นความดี ความดีนั้นเป็นบริวารของปัญญาบารมีอีกทีหนึ่ง ง่ายต่อการที่เราจะเป็นคนดีแล้วก็เข้าใจธรรม เพราะว่าอะไรคะ คนดีหมายถึงเป็นผู้ละ ไม่ใช่ผู้เอา ลองดูความดีทุกอย่าง ต้องมาจากการละ อย่างเรื่องของทาน การให้ เราก็ไม่ติดในสมบัติ จนกระทั่งไม่สามารถสละได้เพื่อประโยชน์ของคนอื่น เราไม่ใช่เอาเงินไปทิ้งๆ ขว้างๆ แต่เงินนั้นมีประโยชน์สำหรับคนอื่น เราก็สละให้เพื่อประโยชน์ของเขา ถ้าเราเอาบาตรไปให้ชาวบ้าน เราไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชาวบ้าน เอาบาตรไปให้ชาวบ้านทำไม เอาเสื้อผ้าสวยๆ ไปให้พระ เอาเงินไปให้พระ ผิดแล้ว เอาไปให้ท่านได้อย่างไร ในเมื่อการเป็นพระ หมายถึงสละทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติ ญาติพี่น้อง เงินทอง วงศาคณาญาติ เงินในแบงค์ต้องสละหมด ต้องให้ตรง ใช่ไหมคะ ความจริงใจก็จะทำให้เป็นผู้ตรงต่อไป เพราะขณะนั้นเป็นการละโลภะ
กุศลทุกชนิด ท่านใช้คำว่า “เนกขัมมะ” หมายความว่าสละอกุศล ออกจากอกุศล ไม่ว่าอกุศลประเภทใดก็ตาม ทานเรายังสามารถให้วัตถุที่เป็นประโยชน์
ดิฉันเคยเห็นคนจน ไม่มีอะไร เขามีขนม เขาแบ่งกัน คิดดูซิ คนจน เขาหิว เขาไม่ค่อยได้อาหารที่อร่อย แต่พอเขามีอาหารอร่อย เขาแบ่งได้ แล้วคนที่มั่งมีศรีสุข มีอะไรก็ให้คนอื่นไม่ได้ ก็แสดงสภาพของจิตใจแล้วว่าต่างกัน
เพราะฉะนั้นความดีทุกอย่าง คิดให้ลึกค่ะ มันมาจากการสละ ความไม่ติด ซึ่งในที่สุดเราจะสละความเป็นเราได้ เพราะเวลานี้ปัญญาแค่นี้สละความเป็นเราไม่ได้หรอก เห็น ก็เป็นเราเห็น ได้ยิน ก็เป็นเราได้ยิน ดี ก็เป็นเราดี ชั่ว ก็เป็นเราชั่ว เป็นเราไปหมด จนกว่าจะสละความติดข้อง เพราะรู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ ถึงที่สุดของปัญญา ก็รู้ความจริงของธรรมที่เกิดดับจนค่อยๆ คลาย จนหมด ไม่มีความสงสัยว่า ไม่ใช่เราเพราะอะไร เพราะมันเป็นธาตุ หรือธรรมที่เพียงเกิดปรากฏ แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย
คำพูดนี้เป็นความจริงตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งถึงเป็นพระอรหันต์ ไม่มีการเปลี่ยนเลย เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของการละที่สามารถสละได้ และสละอันดับแรก คือ สละการยึดถือสภาพธรรม เพราะเข้าใจว่าเป็นเรา นี่ผิดแล้วค่ะ เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วเห็นเป็นเรา เราก็ต้องไม่มีซิ เอาได้ยินเดี๋ยวนี้ ทำไมถึงเกิดได้ยินขึ้น ถ้าไม่มีเสียงมากระทบหู ได้ยินก็เกิดไม่ได้ และได้ยินแค่ชั่วคราว สั้นมาก ได้ยินแล้วก็ดับ แค่เกิดมาทำหน้าที่ได้ยินแล้วดับ แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
ถ้าเรามีความเข้าใจขึ้นๆ การสละความเป็นเราก็เพิ่มขึ้น สามารถฟังพระธรรม สละความยึดถือสภาพธรรมจึงปรากฏได้ เหมือนม่านหนาๆ ค่อยๆ เปิดออกไปทีละชั้น จนกระทั่งชั้นในที่สุดที่บังไว้อย่างบางที่สุดก็เปิดออก เห็นความจริงของธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้
นั่นคือการจะไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคล ที่ไม่ใช่เพียงคิดว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นการรู้ความจริงว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง