น้อมเข้ามาในตน
เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ เป็นเรื่องของการที่บุคคลนั้นจะรู้เองว่า รู้แค่นี้ไม่พอที่จะละ เพราะฉะนั้นการที่ใครจะมีอัธยาศัยสะสมมาคิดอย่างไร ปัญญาที่อบรมแล้วสามารถเห็นว่า เป็นธรรม สำคัญที่สุดก็คือเข้าใจว่าเป็นธรรม ถ้าตราบใดที่ลักษณะของธรรมไม่ปรากฏจนกระทั่งชิน จนกระทั่งละคลาย ไม่มีทางถึงความเป็นพระโสดาบัน
เพราะฉะนั้นหนทางของพระพุทธเจ้าที่ต่างกับคนอื่น คือ รู้ หนทางรู้ วิชชา ไม่ใช่อวิชชา ขาดการรู้ความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็คิดว่าตัวเองละหมดแล้ว ละเยอะแล้ว ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ แต่ว่ารู้อะไร ถ้าไม่สามารถรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ผิดแล้ว เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น สิ่งที่ดับไปแล้วไม่สามารถจะรู้ได้ และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็รู้ไม่ได้ ต้องเดี๋ยวนี้ที่เรากำลังฟัง แล้วเราจะเป็นผู้รู้ด้วยตัวเองว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างเห็นก็แค่ได้ยินได้ฟัง เป็นธาตุ เป็นธรรม มีจริง เกิดดับ แต่เรายังไม่รู้ตัวเห็นจริงๆ แต่ธรรมไม่ใช่เพียงขั้นปริยัติ คือ ความรอบรู้เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ไม่ว่าจะฟังเรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ อายตนะ ก็คือธรรม โดยประการที่ละเอียดขึ้นๆ ที่จะคลายความสงสัยในขั้นการฟังว่า ต้องเป็นอันนี้แหละที่ปัญญาจะรู้ความจริงได้ แล้วก็อดทนที่จะรู้ว่า นานแสนนานเท่าไรกว่าที่สภาพธรรมจะเกิดขึ้น จากการฟังแล้วรู้สิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าทันทีที่ฟัง เราคิดถึงสิ่งอื่นหมดเลย ไม่ได้รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นการฟังจะค่อยๆ น้อมเข้ามา “โอปนยิโก” ธรรมที่เราสวดทั้งหมด น้อมเข้ามาในตน คือ ตัวที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ที่เคยเป็นตน ก็น้อมเข้ามาที่จะรู้ความจริงว่า นี่แหละเป็นธรรม ไม่ใช่น้อมเข้ามาอย่างไร เอามาใส่ตัวเรา หรืออะไรต่ออะไรก็ไม่ใช่ แต่เวลานี้มีแข็งปรากฏ น้อมเข้ามาในตน คือ ฟังจนกระทั่งขณะนั้นไม่คิดอย่างอื่น พอแข็งปรากฏ เคยปรากฏกับกายวิญญาณ ใครๆ ก็รู้แข็ง ธรรมดา ไม่มีปัญญาอะไรเลย จนกระทั่งฟัง รู้ว่าแข็งเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เวลาปรากฏเพราะอาศัยกาย แล้วเวลาที่แข็งปรากฏ อย่างอื่นจะไม่ปรากฏเลยตามความเป็นจริง ถึงจะเป็นการรู้ชัดทีละ ๑ หลายๆ อย่างรวมกันรู้ไม่ชัด
เพราะฉะนั้นในขณะนั้นที่กำลังรู้ น้อมเข้ามาในตนที่เคยยึดถือว่าเป็นตน แล้วก็มีความเข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้นอย่าเทียบปัญญาของพระพุทธเจ้ากับคนที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ แล้วหลงทางด้วย คิดว่าปฏิบัติคือทำอย่างอื่น แล้วประเดี๋ยวก็จะรู้ แล้วรู้อะไร ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ นั่นไม่ใช่หนทาง
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเทียบกับใครไม่ได้ คนอื่นจะมาตั้งทฤษฎี หรือคิดว่าจะต้องรู้อย่างนั้นอย่างนี้ รู้ไม่ได้หรอกค่ะในสิ่งที่หมดไปแล้วหรือในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ต้องเป็นเดี๋ยวนี้ในสิ่งที่ปรากฏ และแต่ละหนึ่งๆ ก็ต่างกันไป อย่างแม่ มีตั้งหลายคน แม่คนนี้คิดอย่างนั้น แม่คนนี้คิดอย่างนี้ก็ได้ ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งถ้ารู้จริงๆ เมื่อไร ไม่จำกัดว่าใครจะต้องทำอะไร