สนทนาธรรมที่วัดวังตะกู ๒
พระคุณเจ้า คุณกำลังจะบอกให้เราได้เข้าใจกันว่า สภาพธรรมที่ตรง และถูกต้อง เกิดจากขบวนการธาตุรู้แห่งจิต ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ ในทางพระพุทธศาสนาละเอียดมาก คือ ต้องทราบว่า ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่ว ๑ ขณะจิตที่เกิดแล้วก็ดับ แต่ว่าจิตที่เกิดทุกขณะมีพลัง หรือมีสัตติในการที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีที่จิตนั้นดับลง เวลาที่พระคุณเจ้าสวดพระอภิธรรม จะมีคำว่า เหตุปัจจโย อารัมมณปัจจโย จนถึงนัตถิปัจจโย สิ่งที่มีแล้วปราศไป เพราะฉะนั้นจิตในขณะนี้มี เกิดแล้วดับ การดับคือการปราศไปของจิตขณะนี้ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ถ้าจิตขณะนี้ยังไม่ดับ ยังไม่ปราศไป จิตขณะต่อไปจะเกิดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นทุกคนจะมีจิตเพียง ๑ ขณะ ทีละ ๑ ขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อ ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ตายอีก แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว
เพราะฉะนั้นจิตทำหน้าที่เกิดขึ้น เมื่อรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับอีก แล้วก็เกิดอีก ดับอีก เพราะฉะนั้นเป็นขณิกมรณะ หมายความถึงความตายจริงๆ ทุกขณะ ไม่ใช่สมมติมรณะ คือ ความตายที่เราใช้กัน เวลาที่เกิดมาแล้วก็ตายไป นั่นเป็นสมมติมรณะ และไม่ใช่สมุจเฉทมรณะ คือ การตายจริงๆ ไม่เกิดอีกเลยของพระอรหันต์ ซึ่งเราใช้คำว่า “ปรินิพพาน”
เพราะฉะนั้นการที่จะมีความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม ก็ต้องศึกษาพระธรรม แล้วก็เริ่มความเห็นถูก แต่ไม่ใช่มีเราจะไปประจักษ์หรืออยากจะทำเพื่อที่จะให้เห็น แต่ต้องเป็นการอบรมปัญญา คือ ความเข้าใจถูก แล้วก็รู้ว่า ขณะนั้นเริ่มเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น จนกว่าจะเป็นสติปัฏฐานที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้เข้าใจถูกต้องแล้ว
พระคุณเจ้า หมายถึงการศึกษาพระธรรม ต้องไม่มี “ตัวกู” “ของกู” อยู่ในการศึกษา
ท่านอาจารย์ ถ้าพูดว่า ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่เรา ก็เป็นแต่ความคิด เพราะเหตุว่าขณะนั้นปัญญายังไม่ได้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา สภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา คือ สภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมก็เป็นรูปธรรม สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมก็เป็นนามธรรม ถ้าปัญญาสามารถรู้ลักษณะของนามธรรม รูปธรรม ที่กำลังปรากฏขณะนี้ถูกต้อง แยกขาดจากกัน ก็จะค่อยๆ ละความเป็นเรา จนกว่าจะดับหมดเมื่อเป็นโสตาปัตติมรรคจิตเกิดขึ้น รู้แจ้งนิพพาน จึงสามารถดับความสงสัย ความไม่รู้ ความเห็นผิดในลักษณะของสภาพธรรมได้
พระคุณเจ้า มีคำถามอีกคำถามหนึ่งว่า สภาพธรรมที่ตรง และถูกต้องจะเกิดได้กับสัญญาหรือไม่ คือ สัญญาจะทำให้เกิดสภาวะหรือสภาพธรรมที่ปรากฏตรง และถูกต้อง
ท่านอาจารย์ สัญญาเป็นอีกคำหนึ่ง ซึ่งคนไทยใช้ผิด ถ้าเป็นสภาพปรมัตถธรรม สภาพธรรมของสัญญาเจตสิก เป็นสภาพจำ เกิดกับจิตทุกขณะ เพราะว่าจิต ๑ ขณะที่เกิดขึ้นจะต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ขณะ
พระคุณเจ้า ตัวอย่างเช่น
ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังได้ยิน ขณะที่กำลังได้กลิ่น ขณะที่กำลังเห็น ขณะที่กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิต ๑๐ ดวงซึ่งรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทำหน้าที่เห็น ขณะนี้มีจิตเกิดดับสลับกัน จิตที่เห็นดับไปแล้ว แล้วจิตที่ติดข้องในสิ่งที่เห็นก็เกิดสืบต่อคนละขณะ
เพราะฉะนั้นชั่วขณะที่เพียงเห็น ขณะนั้นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ขณะ
พระคุณเจ้า แล้วเราจะเข้าใจว่า ในจิตที่เกิดดับนั้นมีองค์ประกอบด้วยสภาพรู้หรือธาตุรู้กับสัญญา ถูกต้องหรือไม่ครับ
ท่านอาจารย์ ต้องมีเจตสิกอย่างน้อยที่สุด ๗ ชนิด ไม่ใช่เฉพาะสัญญา
พระคุณเจ้า ไม่ใช่ธาตุรู้อย่างเดียว
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เฉพาะสัญญาเจตสิก