วิญญาณนิมิต
อยู่ในโลกคนเดียว คำว่า “อยู่ผู้เดียว” หมายความว่า จิตเกิดพร้อมเจตสิก ไม่มีอะไรที่นั่นเลย นอกจากธาตุรู้ที่เกิดขึ้น เหมือนตอนที่นอนหลับสนิท ไม่ใช่คนตาย แต่ก็มีธาตุรู้เกิดดับสืบต่อจนตื่นขึ้น แล้วก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้าง ก็เป็นการเกิดดับสืบต่อของจิตซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะไม่ให้หลับ จะไม่ให้เห็น จะไม่ให้ตื่น จะไม่ให้คิด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วไม่มีอะไร ที่เป็นความจริงที่สุดของที่สุดก็คือสภาพที่มีจริงๆ เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป เป็นนิพพานเท่านั้นเอง ที่ใช้คำว่า “ปรมัตถธรรม” มี ๔ จิต ๑ ไม่ใช่รูป ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่นิพพาน และจิตคืออะไร จิตเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เวลาเราคิดถึงคำว่า “ธาตุ” เราก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่ของใคร แล้วแต่ว่าจะแจกแจงธาตุนั้นไปโดยวิชาการต่างๆ แต่ธาตุจริงๆ ก็หมายความถึงสิ่งที่เกิดมีลักษณะเฉพาะอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าเป็นธาตุที่เกิด เกิดแล้วต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดแล้วก็ดับทั้งนั้นเลย ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ เพราะฉะนั้นจึงมีจิตเป็นธาตุรู้ แข็งเป็นธาตุไม่รู้ และหวานก็เป็นธาตุที่ไม่รู้ แต่แม้กระนั้นแข็งก็ไม่ใช่หวาน
เพราะฉะนั้นความหลากหลายของธาตุ เราไม่ได้คิดถึงคน ไม่ได้คิดถึงนก ไม่ได้คิดถึงต้นไม้ แต่คิดถึงความจริงที่สุด ก็คือสิ่งนั้นมีจริงๆ มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย หลากหลายสักแค่ไหน ประมวลได้ไหม ตั้งแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว หรือแม้เพียงชาตินี้ ขณะนี้สภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุก็เกิดดับนับไม่ถ้วน โดยความเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ แต่ด้วยความไม่รู้ ก็ทำให้เข้าใจผิด เห็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากเป็นสิ่งที่เที่ยง และยั่งยืน แล้วก็จำนิมิต รูปร่างสัณฐาน ก็แล้วแต่ว่าเป็นของรูปหรือของอะไร สภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก จะทำให้ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งไม่ดับ อย่างจิตขณะนี้ ความจริงเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็หลากหลาย สลับกัน แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่เพราะไม่รู้ความจริงก็คือขณะนี้เหมือนเห็นตลอดเวลา เป็นวิญญาณนิมิต ทุกอย่างที่เกิดสืบต่อ ดับอย่างรวดเร็ว แต่ปรากฏเหมือนเที่ยง ปรากฏเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วแต่จะเป็นสภาพรู้ หรือไม่ใช่สภาพรู้ก็ตาม นิมิตของจิต ก็คือเป็นธาตุที่รู้ไปหมดเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เพราะมีธาตุที่กำลังรู้สิ่งนั้น เสียงปรากฏ ถ้าไม่ได้ยินเสียง หรือธรรมที่สามารถได้ยิน รู้เฉพาะของเสียงนั้น เสียงนั้นก็ปรากฏไม่ได้
เพราะฉะนั้นความจริงถึงที่สุดของความจริง ก็คือจิต เป็นธาตุรู้ ซึ่งกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็คือจิตนั่นแหละเกิดดับสืบต่อ เปลี่ยนแปลงจิตไม่ได้ “นิยาม” คือ ความเป็นจริงที่ต้องเป็นอย่างนี้ คือ จิต ๑ ขณะเกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นเกิดมานานหรือยังคะในสังสารวัฏฏ์ จะเกิดต่อไปอีกนานไหมคะ ตราบใดที่ยังไม่รู้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ และเลือกเกิดก็ไม่ได้ นกเกิดมาเป็นนกหรือเปล่าคะ หรือไม่เกิดก็เป็นนก เกิดมาพร้อมกับรูปซึ่งจำว่า รูปร่างเป็นอย่างนี้ ไม่เรียกเลย หรือเปลี่ยนชื่อจากนกเป็นชื่ออื่นก็ได้ แต่เปลี่ยนสัจจะ คือ ความจริงไม่ได้ ความจริงคือต้องมีธาตุหรือธรรมซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็ว จนไม่ปรากฏความเกิดดับ ปรากฏแต่เพียง “นิมิต” เหมือนสิ่งที่ลวงให้เห็นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ในเมื่อความจริงภายในแท้ๆ คือจิตกำลังเกิดดับ