ทุกข์ที่แท้จริง ๑
ผู้ฟัง จะเรียนถามท่านวิทยากรว่า คำว่า “ทุกข์” อย่างที่ท่านผู้ดำเนินการอภิปรายได้พูดแล้วว่า เราใช้ภาษาไทยกับภาษาบาลีไขว้เขวมาก
เพราะฉะนั้นอย่างคำว่าทุกข์ อยากให้ท่านอาจารย์สุจินต์แตกออกมาหน่อย ว่าในพระพุทธศาสนา ทุกข์มันเป็นอย่างไร ในด้านของเวทนา อย่างทุกข์ทางกาย มันเป็นอะไร เป็นวิบาก ทุกข์ทางจิตมันก็เป็นกิเลส อะไรอย่างนี้ มันซับซ้อน และละเอียดอ่อนมาก ในเรื่องของเวทนาก็ยังละเอียดอ่อน ในเรื่องของไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทุกข์นั้นคืออะไร ในเรื่องอริยสัจ ๔ ทุกข์คืออะไร อยากจะขอคุยเรื่องคำว่า “ทุกข์” สักหน่อยได้ไหม สืบเนื่องจากคราวที่แล้ว
ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ก็มีโอกาสสนทนากับท่านผู้ฟังใหม่ ซึ่งไม่เคยฟังธรรมมาก่อนเลย แต่ว่ามีเพื่อนของท่านชักชวนมาสนทนาธรรมด้วย ท่านก็แสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ท่านก็บอกว่า ขณะนี้ท่านก็สบายแล้ว หมดภาระเรื่องอื่น แต่ว่าก็ยังเป็นทุกข์ ก็เรียนถามท่านว่า แล้วท่านทุกข์อะไร ทุกอย่างหมดแล้ว ไม่มีปัญหาเลย เรื่องการงาน เรื่องครอบครัว เรื่องบุตรธิดา แต่ก็ยังเป็นทุกข์ คำพูดนี้จริงหรือไม่จริง คือว่าเวลาที่ฟังคำพูด สามารถที่จะทราบถึงความคิดความเข้าใจของผู้พูดได้ ว่ามีความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมขั้นไหน เพราะเหตุว่าท่านไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรมเลย แล้วท่านก็ไม่ได้เคยฟังธรรมเลย ท่านเพียงแต่กล่าวว่า ถึงแม้ทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่มีห่วงแล้ว ก็ยังเป็นทุกข์ ก็เลยเรียนถามท่านว่า ท่านทุกข์อะไร เพราะว่าคำพูดของท่านไม่ผิด แต่อธิบายไม่ได้ ถ้าไม่เรียน เพราะว่าบางคนนั่งเฉยๆ พอไม่มีความสุข ไม่มีความสนุกความรื่นเริง แล้วก็ได้ยินได้ฟังมาบ้างว่า โลกเป็นทุกข์ หรือชีวิตเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นโลกใครชีวิตใครก็ตาม เพราะฉะนั้นท่านก็เก็บคำนั้นมาใช้ แล้วก็เข้าใจว่า ขณะที่ท่านไม่ได้สนุกสนานรื่นเริง ขณะนั้นเป็นทุกข์แล้ว
เพราะฉะนั้นกำลังนั่งอยู่อย่างนี้เป็นทุกข์ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ พูดไม่ผิด แต่อธิบายไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจธรรม แต่ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว จะทราบได้ว่า นี่คือความหมายของสังขารธรรม ธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แต่ทุกข์นี่ละเอียดมากเพราะเหตุว่าถ้าเพียงแต่กล่าวว่า เกิดมาเป็นทุกข์ ก็ไม่ผิด คือถ้าจะพูดว่าอะไรๆ เป็นทุกข์นี่ ไม่ผิดสักอย่างหนึ่ง เกิดมาเป็นทุกข์ก็ไม่ผิด เพราะเหตุว่าเกิดมาแล้วก็มีการเจริญเติบโต แล้วก็จะต้องถึงการแก่ จะต้องถึงความเจ็บไข้ได้ป่วย พลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ถึงการจากโลกนี้ไป ฟังดูก็น่าจะเป็นทุกข์ แต่ว่าทุกคนก็ยังไม่ได้เข้าถึงความหมายของสังขารธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์ คือ สภาพธรรมใดก็ตามเกิดขึ้นเป็นทุกข์เพราะทันทีที่เกิดก็ดับ
เพราะฉะนั้นยังไม่ต้องรอคอยจนกว่าจะถึงเวลาที่ป่วยไข้ได้เจ็บ หรือว่าพลัดพรากจากสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าสามารถจะเข้าใจความจริงว่า ทุกขณะที่กำลังปรากฏ เช่นทางตาที่กำลังเห็น ชั่วขณะจริงๆ เพราะอะไร ได้ยินเสียง
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้าเข้าถึงความหมายของทุกขลักษณะของสภาพธรรม จะเห็นได้โดยพิจารณาแล้วเข้าใจถูกต้องได้ว่า ขณะที่ได้ยินเสียง ไม่มีสีสันวัณณะปรากฏในขณะที่เสียงปรากฏ แล้วเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดได้ยินกับเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดเห็นก็ห่างกัน คือว่า การเห็นต้องอาศัยตา จักขุปสาท เป็นรูปชนิดหนึ่งซึ่งอยู่กลางตา ส่วนการได้ยินก็ต้องอาศัยโสตปสาท เป็นรูปอีกรูปหนึ่งซึ่งอยู่กลางหู ระหว่างตากับหู มองดูถ้าจะวัดดูก็อาจจะสักคืบหนึ่ง แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว มีรูปหลายกลุ่มซึ่งทยอยกันเกิด ทยอยกันดับ และไม่ใช่แต่เฉพาะระหว่างตากับหู ทั่วทั้งตัวในขณะนี้ รูปมีอายุเพียงการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปใดที่เกิด พออายุ ๑๗ ขณะก็ดับ แล้วรูปใดที่เกิดต่อจากนั้นอายุ ๑๗ ขณะก็ดับ
เพราะฉะนั้นขณะในขณะนี้รูปทุกรูปกำลังทยอยกันเกิดทยอยกันดับ และเหตุปัจจัยที่ให้เห็นที่อยู่กลางตา ก็ห่างจากเหตุปัจจัยที่ทำให้ได้ยินที่อยู่กลางหู เพราะฉะนั้น จะพร้อมกัน ขณะเดียวกันไม่ได้ โดยการฟัง ก็ยังจะไม่เข้าใจว่า แล้วเป็นทุกข์อย่างไร เห็น จะเป็นทุกข์อย่างไร ได้ยิน จะเป็นทุกข์อย่างไร แต่ให้ทราบว่า นี่คือทุกข์จริงๆ ถ้าสามารถประจักษ์ว่า ทุกอย่างคือความว่างเปล่า เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏ เมื่อดับแล้วหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ
เพราะฉะนั้นเป็นความว่าเปล่าแต่ละขณะ ซึ่งปรากฏแล้วก็หมดไป ปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นถ้าประจักษ์ความจริงอย่างนี้ ว่าสภาพธรรมในขณะนี้เกิดแล้วดับ เมื่อนั้นจึงจะเป็นการประจักษ์ทุกข์ ซึ่งไม่ว่าจะกล่าวถึงทุกข์ในแง่ไหน ก็จะพ้นจากทุกข์นี้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นสังขารธรรมซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วถ้าไม่มีผู้ที่ประจักษ์ความจริงนี้ ก็จะไม่มีการกล่าวเรื่องสังขารธรรมไม่เที่ยง ไม่มีการแสดงพระธรรมที่จะให้เห็นว่า ที่เราถือว่าเป็นตัวเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า บางกลุ่มเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น บางกลุ่มเป็นปัจจัยให้ได้ยิน บางกลุ่มเป็นปัจจัยให้ได้กลิ่น บางกลุ่มเป็นปัจจัยให้ลิ้มรส บางกลุ่มเป็นปัจจัยให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ชั่วขณะหนึ่งๆ ซึ่งขณะนั้นจะไม่มีอย่างอื่นปะปนเลย
เพราะฉะนั้นที่เคยมีอัตตสัญญาจำว่า เป็นเรากำลังนั่งอยู่ นี่ให้ทราบว่าไม่ใช่อนัตตสัญญา แต่เป็นอัตตสัญญา ซึ่งอัตตสัญญายังไม่หมดตราบใด ความเป็นตัวตนต้องมีตราบนั้น
อ.สมพร คือประชาชนทั่วไปไม่เข้าใจเรื่องทุกข์จริงๆ ที่เราเข้าใจกัน เข้าใจแค่ทุกข์เวทนา ทุกข์ที่วิทยากรกล่าวนี้ เป็นทุกขอริยสัจที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงทุกขเวทนา ซึ่งเรามีความเจ็บกาย ป่วยกายอะไรเหล่านี้ ที่เรียกว่าทุกขเวทนา หรือทุกข์ใจ โทมนัสเวทนา อันนี้มันรู้ได้ง่ายครับ ทุกขเวทนา ทุกข์ที่กล่าวที่เป็นปัจจัยให้เราเจริญสติปัฏฐาน เป็นทุกขอริยสัจ รู้ได้ยาก ต้องศึกษาขั้นตอนตามที่วิทยากรบรรยายมาแล้ว มุ่งถึงทุกขอริยสัจ ว่าอะไรเป็นทุกข์ไม่ได้มุ่งเอาแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียว ทุกขเวทนา ใครๆ ก็รู้ เด็กก็รู้ ว่าเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็รู้ ใครๆ ก็รู้ รู้อย่างนั้นยังไม่จัดว่า เป็นผู้มีสติ เพราะอะไร เพราะว่ารู้ว่าเราเจ็บ ยังเป็นอัตตา ยังเป็นตัวตนอยู่ แต่เมื่อใดรู้แต่สภาวะนั่นแหละ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแต่ธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น จะเป็นรูปหรือนาม อย่างนี้ก็เรียกว่า รู้สภาวะ สภาวะอันนั้นก็คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขอริยสัจนี้ละเอียดจริงๆ ต้องศึกษามาก