โลภะที่เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนาและโสมนัสเวทนา
ถ้ากล่าวถึงจิต ก็คือสิ่งที่ทุกคนมีโดยตลอด และก็เวลาที่กล่าวถึงโลภมูลจิต ก็น่าจะคิดว่าวันนี้มีหรือยัง ยังไม่กล่าวถึงทิฏฐิ เพียงแค่โลภมูลจิต วันนี้มีหรือยัง (มีแล้ว) เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนาหรือเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา เพราะว่าความรู้สึกที่จะเกิดกับโลภมูลจิตจะมีได้เพียง ๒ อย่าง คือ ความรู้สึกที่ไม่สุข ไม่ทุกข์ เฉยๆ อุเบกขาเวทนา หรือว่าเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา
เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ อกุศลจิตที่มี ยากที่จะรู้โดยเฉพาะโลภะ เพราะว่าคุ้นเคยมาก วันนี้จริงๆ แล้วโลภมูลจิตมีแล้วมาก แต่ว่าเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา จึงไม่รู้สึกว่าขณะนั้นเป็นความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้ววันนี้เมื่อเช้านี้จนถึงเดี๋ยวนี้มีโลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ความรู้สึกเป็นสุขโสมนัสมีไหม บางท่านก็บอกไม่มี บางท่านก็บอกว่ามี แต่จริงๆ เราสามารถที่จะรู้ลักษณะของจิตได้โดยเวทนา มิฉะนั้นเราจะบอกไม่ได้ว่าขณะนั้นเป็นจิตประเภทไหน เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่กุศลจิตแต่เวทนาก็ยังเป็นโสมนัสได้ เวลาที่เวทนาเป็นโสมนัสจะเกิดกับอกุศลจิตประเภทเดียวคือโลภมูลจิต
เมื่อเช้านี้ก็เห็นดอกไม้สีแสดสวยสะอาด ทันทีที่เห็นเป็นอย่างไร มีผู้ที่นำดอกไม้สีแสดๆ และก็สะอาดมาให้ พอเห็นรู้สึกชอบไหม ชอบ รู้สึกสวยดีใจไหมที่ดอกไม้นี้สะอาดแล้วก็สด ขณะนั้นก็เป็นโลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ดูไปทุกแจกันที่เป็นเครื่องบูชา ดอกไม้ที่บูชา สวย ขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ต้องไม่เข้าข้างตัวเอง ถ้าเป็นอกุศลก็คืออกุศล เพราะฉะนั้นต้องตรง และก็ต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
การที่เราศึกษาเรื่องจิตโดยเฉพาะอกุศลจิตก็เพื่อที่จะให้รู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่จะต้องละ แต่ละยากมาก และต้องรู้ตามความเป็นจริงจึงสามารถที่จะละได้ ไม่ใช่มีความเป็นเราไปพยายามบังคับ ไม่มอง ไม่ดู ไม่เห็น เห็นแล้วก็ให้เฉยๆ ไม่ให้โสมนัสก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะขณะนั้นก็เป็นเราอีกนั่นเองที่กำลังเพิ่มเติมความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราโดยที่ไม่รู้สภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง
ที่มา ...