สภาพธรรมจะปรากฎ เมื่อสติสัมปชัญญะระลึก


    แต่ส่วนที่ละเอียดที่ยึดถือว่าเป็นเรา ต้องเป็นปัญญาที่สามารถจะรู้จริงๆ ว่า ขณะนั้นเป็นความติดข้องที่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย หรือเป็นความติดข้องคือโลภะธรรมดาปกติซึ่งไม่มีทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ถ้ามีคนเห็นว่า มารดาบิดาไม่มีคุณ ผิด หรือถูก เห็นอย่างนั้นเป็นความเห็น เพราะฉะนั้นก็เป็นทิฏฐิเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นทิฏฐิเจตสิกก็คือความเห็นผิดจากความเป็นจริงต่างๆ ตั้งแต่ระดับเรื่องราว จนกระทั่งถึงลักษณะสภาพธรรม ในขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็มีลักษณะนั้นปรากฏ ถ้าปัญญาไม่ถึงระดับขั้นที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ขณะนั้นก็ยังมี"เรา" ที่กำลังรู้ได้ ขณะนั้นต่างหากที่แสดงให้เห็นว่ามีทิฏฐิเจตสิกเกิดยึดถือสภาพของขันธ์หนึ่งขันธ์ใด เช่นยึดถือลักษณะของรูปขันธ์ว่าเป็นเรา เวทนาที่เกิดร่วมด้วยว่าเป็นเรา หรือสัญญาเป็นเรา สังขารทั้งหมดที่นอกจากเวทนาเจตสิกกับสัญญาเจตสิกแล้วว่าเป็นเรา หรือแม้แต่กำลังเห็นขณะนี้ก็มีความยึดถือว่าเป็นเรา จนกว่าจะรู้ว่าเป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรม แต่ขณะที่ไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยก็เป็นไปตามสัญญาวิปลาส หรือ จิตตวิปลาส แต่ไม่ใช่ทิฏฐิวิปลาส ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ละเอียด และก็เป็นความจริง จะค่อยๆ รู้เมื่อสติสัมชัญญะเกิด เพราะว่าสภาพธรรมขณะนี้มี ก็จริง แข็งก็มี เห็นก็กำลังเห็น เสียงก็กำลังปรากฏ มีทั้งนั้น แต่ลักษณะที่เป็นสภาวธรรมที่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แยกขาดจากกันระหว่างนามธรรม และรูปธรรมจะปรากฏเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด แต่จะไม่ปรากฏโดยที่ปัญญารู้แจ้งชัดเลยทีเดียว แต่เริ่มรู้ขณะที่ต่างกันของขณะที่สิ่งนั้นปรากฏกับสติ เช่น ในวันหนึ่งๆ กระทบแข็งบ่อยๆ ปรากฏกับสติ หรือปรากฏกับกายวิญญาณซึ่งรู้แข็ง ทุกคนตอบได้ เด็ก หรือ ผู้ใหญ่ ก็ตอบได้หมดว่า แข็ง เพราะกายวิญญาณเป็นสภาพที่รู้แข็งเป็นจิตประเภทหนึ่งที่สามารถจะรู้ลักษณะของสิ่งที่กระทบกายว่าสิ่งนั้นอ่อน หรือแข็ง เย็น หรือร้อน

    แต่ขณะใดที่กำลังปรากฏกับสติเป็นปกติ อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องยากที่อาจจะไม่เกิดตลอดชีวิต นั่นไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งธรรมดา เพียงแต่ว่าบังคับไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราอยากมีสติแล้วก็พยายามให้คิด หรือให้นึก หรือให้ทำ แต่เมื่อไรที่เกิด เมื่อนั้นจะเห็นความเป็นอนัตตา ว่าลักษณะที่แข็ง ที่วันหนึ่งไม่ได้ปรากฏกับสติเลย แต่ว่าขณะใดที่กำลังรู้ตรงแข็ง ลักษณะแข็งกำลังปรากฏ นั่นคือขณะนี้เห็นความต่างของขณะที่วันหนึ่งๆ แข็งที่ปรากฏกับกายวิญญาณ กับแข็งที่ปรากฏกับกายวิญญาณ และปรากฏกับสติที่กำลังรู้ตรงนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมดที่กล่าวถึง จะปรากฏเมื่อสติสัมปชัญญะระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น มิฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมีจริงเกิดแล้วดับแล้วหมดไม่เหลืออะไรที่จะให้เราไปตามรู้ได้ จะรู้ได้เฉพาะสิ่งที่กำลังมีลักษณะที่สติสัมปชัญญะระลึก เพราะฉะนั้นจึงเหมือนกับอยู่ในความมืด และรู้เรื่องราวของสภาพธรรม แต่ลักษณะของสภาพธรรมจะปรากฏในความมืดจริงๆ คือ ขณะที่สติสัมปชัญญะเริ่มระลึก ลักษณะนั้นจึงปรากฏ

    เพราะฉะนั้นแม้แต่เรื่องของทิฏฐิ หรือเรื่องของจิตประเภทต่างๆ เราฟังให้เข้าใจ เพื่อที่จะอบรมความรู้ที่ถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน และเห็นความเป็นอนัตตาให้มั่นคงเป็นสัจจญาณ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีสัจจญาณ การรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม สติสัมปชัญญะจะไม่เกิด และก็จะไม่ระลึก ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 121


    หมายเลข 8791
    27 ม.ค. 2567